รวม 5 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเริ่มทำแอปพลิเคชัน
ในปัจจุบันการใช้งานของสมาร์ตโฟนมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ทั้งในชีวิตประจำวัน และวงการธุรกิจ ทำให้แอปฯจึงกลายมาเป็นส่วนที่สำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะในวงการธุรกิจ แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจหน้าใหม่ ที่อยากมีแอปฯของตัวเอง แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ต้องทำอย่างไรให้ได้แอปฯที่มีคุณภาพ วันนี้เราจะพาไปดู 5 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเริ่มต้นทำแอปพลิเคชัน
ทำไมธุรกิจถึงต้องมีแอปพลิเคชัน
ธุรกิจทั่วทุกมุมโลก ต่างก็เริ่มมีการแข่งขันกันที่สูงมากขึ้น หลายธุรกิจเริ่มมีการปรับตัว โดยเฉพาะด้านการตลาด และเทคโนโลยี เช่น จากการใช้หนังสือพิมพ์ ใบปลิว หรือป้ายโฆษณาในการทำการตลาด ก็ได้มีการเปลี่ยนมาใช้เว็บไซต์ จนในปัจจุบันที่แอปฯบนมือถือ กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของธุรกิจส่วนใหญ่
การทำแอปฯบนมือถือ จะช่วยพัฒนาการสื่อสาร และการรับรู้แบรนด์ เพราะการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายของอย่างสม่ำเสมอจะช่วยส่งเสริมความไว้วางใจให้มีเพิ่มขึ้นในระยะยาว ซึ่งยิ่งผู้บริโภคไว้วางใจเรามากเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งยินดีรับฟังการขายที่จะเกิดขึ้นตามมา และให้ความสำคัญกับแบรนด์ของคุณมากเท่านั้น
5 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเริ่มทำแอปพลิเคชัน
แอปฯนั้นมีหลายประเภท รูปแบบ และแพลตฟอร์ม ทำให้ก่อนเริ่มทำแอปฯเราจะต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้เสียก่อน เพราะการทำแอปฯถือว่ามีต้นทุนที่สูง เพื่อให้แอปฯถูกพัฒนาออกมาตามแบบที่เราต้องการ และเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การรู้ 5 สิ่งนี้จะทำให้มั่นใจได้ว่าแอปฯของเราจะออกมาดีที่สุด
ผู้ใช้งานแอปพลิเคชันคือใคร?
ก่อนที่จะเริ่มทำแอปฯ เจ้าของธุรกิจควรจะต้องตอบให้ได้ก่อนว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายของแอปฯ เพื่อกำหนดทิศทางของแอปฯว่าควรจะไปในทิศทางใด และควรพัฒนาลงแพลตฟอร์มไหน ซึ่งถ้าหากเราสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ใช้แอปฯได้ จะทำให้การพัฒนาแอปฯ และส่วนอื่น ๆ มีทิศทางอย่างชัดเจน
การทำการบ้านเกี่ยวกับผู้ใช้งานแอปฯ จะสามารถช่วยจำกัดกลุ่มเป้าหมายให้แคบลงได้ จนถึงปัจจัยทางสังคม ข้อมูลประชากร ภูมิศาสตร์ พฤติกรรม แรงจูงใจ นิสัย และจุดร่วมของผู้ใช้งานแอปฯ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกธุรกิจควรจะต้องตัดสินใจเลือกกลุ่มเป้าหมายก่อนจะเริ่มดำเนินกระบวนการสร้างแอปฯ เพื่อให้แอปฯตอบโจทย์ต่อผู้ใช้งานได้มากที่สุด
คู่แข่งของเราคือใคร?
อีกหนึ่งสิ่งที่เราจะต้องรู้ก่อนเริ่มทำแอปฯ คือการกำหนดว่าคู่แข่งของแอปฯเราคือใคร เพราะการวิเคราะห์แอปฯของคู่แข่ง จะทำให้เราสามารถรับรู้ถึงจุดอ่อนที่อาจจะเกิดขึ้นกับแอปฯของเราได้ รวมไปถึงยังนำส่วนดีของแอปฯนั้น ๆ มาใช้ในการพัฒนาให้ดีกว่าเดิมได้ ซึ่งการที่เราเรียนรู้จากคู่แข่ง จะช่วยให้เราสามารถผลิตแอปที่เหนือกว่าคู่แข่งได้ และยังสามารถต่อยอดไอเดียของเราได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับการวิเคราะห์แอปฯคู่แข่ง เราควรจะต้องวิเคราะห์จากหลาย ๆ อย่าง เช่น ลักษณะแอปฯคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น Feature การวางโครงสร้าง หรือ UX/UI นอกจากนั้นเราควรวิเคราะห์จากตัวบริษัทของคู่แข่งด้วย เช่น ตรวจสอบว่าบริษัทไปได้ดีไหม เจอปัญหาอะไรบ้างระหว่างทาง และดูว่าเค้ามีวิธีสร้างฐานผู้ใช้งานอย่างไร นอกจากนั้นเราควรจะวิเคราะห์ด้วยว่าการจะเข้าไปแทรกในตลาดนี้ยากง่ายแค่ไหน และคุ้มค่าหรือไม่
แอปพลิเคชันของเราจะแก้ปัญหาให้ผู้ใช้งานได้อย่างไร?
การเข้าใจว่าแอปฯของเราจะสามารถแก้ปัญหาให้ผู้ใช้งานแอปฯได้อย่างไรนั้น ในส่วนนี้ก็จะขึ้นอยู่กับสินค้า และบริการของเรา ซึ่งแอปฯที่เราพัฒนาขึ้นมานั้นจะต้องสามารถดึงจุดเด่นของสินค้า และบริการของธุรกิจเรามาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการเพิ่มฟังก์ชันอื่น ๆ ที่จะช่วยให้แอปฯของเรามีจุดเด่นมากกว่าแอปฯอื่น ๆ ตลาด เช่น แอปฟิตเนส ควรจะมีเครื่องคิดเลข BMI หรือเครื่องติดตามน้ำหนักไหม? เป็นต้น
นอกจากนั้นหากเรานำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ จะทำให้เราสามารถเข้าใจ และเข้าถึงผู้ใช้งานได้มากขึ้น ว่าควรพัฒนาแอปฯไปทิศทางใด ควรเพิ่มบริการอะไร หรือทำอย่างไรให้ผู้ใช้งานอยากใช้แอปฯของเราต่อ ซึ่งในส่วนนี้ยังช่วยกำหนดทิศทางในการทำการตลาด และอื่น ๆ ของธุรกิจอีกด้วย
ระบบพื้นฐานที่แอปพลิเคชันควรมี
ก่อนที่จะเริ่มต้นพัฒนาแอปฯ มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราควรจะให้ความสำคัญ คือระบบพื้นฐานที่ทุกแอปพลิเคชันควรมี เพราะระบบพื้นฐานเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้แอปฯของเราสามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล รวมไปถึงยังช่วยปกป้องผู้ใช้งานแอปฯจากข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย
ระบบที่คอยดูแลความปลอดภัยของแอปฯ และข้อมูลผู้ใช้งาน
ความสามารถในการขยายขนาดของระบบ Network (Scalability) ในกรณีที่มีผู้ใช้งานพร้อมกันเยอะ
ความน่าเชื่อถือของแอปฯ ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ใช้งานแอปฯไว้ใจแอปฯของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มจำนวนการดาวน์โหลดได้อีกด้วย เพราะผู้ใช้งานไว้วางใจเรานั่นเอง
อย่างไรก็ตาม อีกสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องให้ความสำคัญ คือระบบพื้นฐานของแอปฯต่าง ๆ จะต้องสามารถใช้งาน และรองรับการใช้งานได้อย่างหลากหลาย เพราะในปัจจุบันทั้ง IOS และ Android ต่างก็มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นระบบต่าง ๆ ของแอปฯควรจะต้องพัฒนา และรองรับแพลตฟอร์มแต่ละเวอร์ชันได้เป็นอย่างดี
การสังเกตการณ์ และวัดผลการใช้งานแอปฯ
หลังจากที่การพัฒนาแอปฯเสร็จสิ้น และมีการ Submit เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องรู้ในการทำแอปพลิเคชันคือการสังเกตการณ์ และวัดผลการใช้งานแอปฯ เพราะอาจเกิดปัญหาการใช้งานของแอปฯตามมาได้ เช่น Bug, Crashes หรือการอัปเดตฟีเจอร์ต่าง ๆ
นอกจากนั้นการสังเกตการณ์ และการวัดผล ยังช่วยให้สามารถนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาแอปฯในอนาคต และจะทำให้ได้รู้ว่าเราควรทำอะไรเป็นสิ่งต่อไปนั่นเอง
ค่าใช้จ่ายที่ต้องรู้ก่อนทำแอปพลิเคชัน
หลังจากที่เราทำความเข้าใจเรื่องที่ต้องรู้ก่อนเริ่มทำแอปฯแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องรู้ก่อนเริ่มทำแอปฯคือค่าใช้จ่ายในการทำแอป ว่ามีอะไรบ้าง?
การออกแบบแอปพลิเคชัน
การออกแบบแอปพลิเคชัน เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องคำนึงเป็นอันดับแรก ก่อนเริ่มจ้างบริษัททำแอปฯเราจะต้องมีความต้องการของหน้าตาตัวแอปฯ และคอนเซปต์ที่ชัดเจน ซึ่งถ้าหากความต้องการของเราไม่มีความชัดเจน อาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ ทั้งในแง่ของระยะเวลาการทำงาน และค่าใช้จ่าย
แต่สำหรับคนที่ต้องการพัฒนาแอปฯแต่ไม่มีความรู้ในเรื่องของการออกแบบเลย ในส่วนนี้ก็สามารถปรึกษาบริษัทที่เราจ้างมาได้เช่นกัน ซึ่งโดยปกติแล้วนักพัฒนาแอปฯจะมีความรู้เกี่ยวกับฟังก์ชันการทำงานของแอปฯอย่างครบถ้วน ตั้งแต่หน้าตาของแอปฯ การออกแบบ UX และ UI รวมไปถึงตัว Prototype ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับอุปกรณ์ ที่มีทั้งระบบปฏิบัติการ และขนาดหน้าจอที่แตกต่างกัน
ความซับซ้อนของแอปพลิเคชัน
ความซับซ้อนของแอปฯ ถือเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อต้นทุนของการพัฒนาแอปฯ ซึ่งหากเราต้องการสร้างแอปฯที่มีการใช้งาน และฟีเจอร์ง่าย ๆ เวลา และต้นทุนในการพัฒนาแอปฯก็จะน้อยลงตามความซับซ้อนในการพัฒนาแอปฯ
นอกจากนั้นการพัฒนาแอปฯ มักจะต้องการการเขียนโปรแกรมที่ซับซ้อน เนื่องจากในปัจจุบันระบบปฏิบัติการบนมือถือมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้งระบบปฏิบัติการสำหรับ iOS หรือ Android ซึ่งการพัฒนาแอปฯจะต้องสามารถตอบโจทย์การใช้งานบนแพลตฟอร์มที่ใช้ระบบปฏิบัติการนี้ให้ได้ สิ่งเหล่านี้จึงนำไปสู่การใช้ต้นทุนพัฒนาที่สูงขึ้น หากเทียบกับการพัฒนาเว็บไซต์
ค่าใช้จ่ายระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดในขั้นตอนการทำแอปฯ คือการพัฒนาแอปฯ ซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะ โดยจะมีหลายส่วนในการพัฒนาที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็น ความซับซ้อนของแอปฯ จำนวนคนในการใช้พัฒนาแอปฯ หรือระยะเวลาในการพัฒนาแอปฯ
การนำแอปพลิเคชันลงสโตร์
เมื่อมีการพัฒนาแอปพลิเคชันเสร็จเรียบร้อยแล้ว และต้องการนำไปวางบนสโตร์ทั้ง Apple Store และ Google Play Store สิ่งที่จะต้องทำก่อนที่จะนำแอปฯขึ้นก็คือ ทางเจ้าของระบบปฏิบัติการจะต้องตรวจสอบใบขออนุญาตต่าง ๆ และตรวจสอบกฎระเบียบอีกมากมายก่อนที่จะอนุญาตให้นำแอปฯมาวางได้
สำหรับการจองการนำแอปฯขึ้นสโตร์ จะต้องสมัคร Google Developer โดยมีค่าใช้จ่าย $25/ตลอดชีวิต และ Apple Developer ราคา $99/ปี นอกนั้นจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาไม่เกี่ยวกับค่าแพลตฟอร์มหรือโปรแกรมเมอร์
ค่าบำรุงรักษา และอัปเดตแอปพลิเคชัน
ในกรณีที่เราต้องการทำแอปฯแบบออนไลน์ โดยเราจะต้องเสียค่าเช่าเซิร์ฟเวอร์ เป็นรายเดือน หรือรายปี เพื่อให้แอปฯยังคงสามารถใช้งานได้ โดยการทำแอปฯแบบออนไลน์จะเหมาะสำหรับการจ้างเป็นเดือน เพราะเราสามารถกำหนดแอปฯขนาดใหญ่ให้เป็นหลาย ๆ รุ่น (Version) ได้ ทำให้ไม่ต้องรอแอปฯพัฒนาจนเสร็จจึงสามารถปล่อยให้มีการใช้งาน
การพัฒนาแอปฯแบบออนไลน์นั้นเราสามารถกำหนดงานที่สำคัญก่อน จากนั้นค่อยปล่อยออกมาใช้งาน เพื่อเก็บข้อมูลไปพัฒนาต่อไปได้ หรืออาจจะมีรายได้บางส่วนเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาต่อ ทำให้สามารถลดต้นทุนในการพัฒนาได้ ซึ่งในส่วนนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าแอปฯของเราจะสามารถเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการเวอร์ชัน และอุปกรณ์ที่ออกใหม่ ซึ่งการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายในระยะยาว
ทำไมถึงควรทำแอปพลิเคชันกับ Launch Platform?
ปัญหาการทำแอปฯสำหรับธุรกิจ หรือบริษัท คือการที่ต้องการให้แอปฯมีระบบซับซ้อน และใช้งานได้หลากหลาย ซึ่งมีไอเดียอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถดึงออกมาเป็นระบบจริง ๆ ได้ Launch Platform ของเรา มีความถนัดในการพัฒนาระบบที่ซับซ้อน และสามารถเปลี่ยนไอเดียของคุณให้กลายเป็นระบบที่ใช้งานได้จริงบนแอปฯได้ พร้อมติดตามการใช้งาน และให้คำปรึกษาในตลอดการใช้งานได้เป็นอย่างดี