IoT คืออะไร ทำงานอย่างไร ราคาเท่าไหร่ ทำไมจึงควรมีในองค์กร
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำอย่างรวดเร็ว การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ "Internet of Things" (IoT) กำลังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเรา เพราะ IoT จะทำให้อุปกรณ์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถเชื่อมต่อ และสื่อสารกันได้ โดยทำให้เราสามารถควบคุมและติดตามข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย
ในบทความนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักเกี่ยวกับ IoT ว่าคืออะไร มีวิธีการทำงานในชีวิตประจำวันของเราอย่างไร นอกจากนี้เรายังจะพูดถึงความสำคัญของ IoT ว่ามีความสำคัญอย่างไรในยุคนี้ ถ้าพร้อมแล้ว Launch Platform จะเล่าให้ฟังครับ
กดเลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
Key Takeaways
"IoT (Internet of Things) คือ เครือข่ายอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลและทำงานอัตโนมัติ IoT ถูกใช้ในหลากหลายด้าน เช่น สมาร์ทโฮม, อุตสาหกรรม, ขนส่ง รวมถึงสาธารณสุข โดยประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI + IoT อย่างเต็มรูปแบบผ่านโครงข่าย 5G, Smart Farming และระบบสาธารณสุขอัจฉริยะ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน"
IoT (Internet of Things) คืออะไร
IoT หรือ Internet of Things คือ เทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อให้สามารถส่งข้อมูล และสื่อสารกันได้ โดยอุปกรณ์เหล่านี้อาจเป็นเครื่องใช้ในบ้าน เช่น ตู้เย็น หรือหลอดไฟ รวมถึงเซ็นเซอร์ต่าง ๆ รถยนต์ หรือเครื่องจักรในโรงงาน เป็นต้น
การใช้ IoT จะช่วยให้สามารถเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และทำให้การตัดสินใจดีขึ้น เช่น การควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล การติดตามสถานะของสิ่งของ หรือการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำไปสู่การปรับปรุง เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันให้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย
IoT มีความสำคัญอย่างไร
IoT นั้นมีบทบาทสำคัญในหลาย ๆ ด้าน แบ่งออกเป็น ดังนี้
IoT ช่วยให้สามารถตรวจสอบ และควบคุมระบบต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ เช่น สำหรับการผลิต การขนส่ง หรือการจัดการพลังงาน ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้ดีและสะดวกสบาย
ช่วยในการตัดสินใจได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ และทำความเข้าใจแนวโน้ม และพฤติกรรมได้ดีขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่มีข้อมูลสนับสนุน ส่งผลให้คุณตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
IoT ช่วยให้ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน เช่น ช่วยควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ระบบไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ หรือกล้องรักษาความปลอดภัย สามารถทำได้จากระยะไกลผ่านสมาร์ตโฟน
สร้างโอกาสทางธุรกิจ องค์กรสามารถพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ โดยใช้ข้อมูลจาก IoT เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
IoT สามารถใช้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การตรวจสอบการใช้น้ำ หรือพลังงาน ช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนมากขึ้น
IoT สามารถช่วยในการสื่อสาร การควบคุม และการประมวลผลข้อมูลในระบบขนส่งต่าง ๆ เช่น ยานพาหนะ โครงสร้างพื้นฐาน และคนขับ หรือผู้ใช้ การควบคุมการจราจร ที่จอดรถอัจฉริยะระบบเก็บค่าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
IoT สามารถใช้งานด้านทางการแพทย์ และสุขภาพได้ โดยจะสามารถทำการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการวิจัย และการติดตาม รวมถึงสามารถใช้งานในการตรวจสอบสุขภาพระยะไกล และระบบแจ้งเตือนฉุกเฉินได้
ถ้าคุณสนใจเรื่อง IoT : อย่ามองข้ามบทความนี้ :
Platform คืออะไร คำฮิตติดปาก ที่หลายคนอาจไม่รู้จักความหมาย
อุปกรณ์ IoT มีอะไรบ้าง
อุปกรณ์ที่ใช้ IoT มีหลากหลายและช่วยให้ชีวิตเราสะดวกขึ้นในทุกมิติของการใช้ชีวิต ลองมาดูกันว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีอะไรบ้าง และพวกมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราอย่างไรครับ
1. Smart Home Devices
ลองจินตนาการว่าคุณสามารถสั่งให้ไฟในบ้านเปิด-ปิดด้วยเสียง หรือสั่งให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นทำความสะอาดบ้านโดยไม่ต้องขยับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว อุปกรณ์ IoT ในบ้านทำให้ทุกสิ่งง่ายขึ้น เช่น
หลอดไฟอัจฉริยะ (Smart Bulbs) เช่น Philips Hue ที่สามารถเปลี่ยนสีตามอารมณ์หรือซิงค์กับเพลงโปรดของคุณ
กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ (Smart Security Cameras) ที่สามารถแจ้งเตือนคุณทันทีเมื่อมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ
กริ่งประตูอัจฉริยะ (Smart Doorbells) ที่ให้คุณเห็นและพูดคุยกับแขกผ่านมือถือได้
2. Wearable Devices
อุปกรณ์เหล่านี้เป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัว ที่ดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของคุณแบบเรียลไทม์ครับ เช่น
Smartwatch เช่น Apple Watch หรือ Fitbit ที่ช่วยติดตามการออกกำลังกายและอัตราการเต้นของหัวใจ
เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และอุปกรณ์ตรวจจับสุขภาพ เช่น Xiaomi Mi Band ที่ช่วยให้คุณเข้าใจร่างกายตัวเองได้ดีขึ้น
3. Industrial IoT
นอกจากบ้านและสุขภาพแล้ว IoT ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรม เช่น:
เซ็นเซอร์ตรวจจับการสั่นสะเทือน ช่วยตรวจสอบความเสี่ยงในเครื่องจักรและป้องกันความเสียหายก่อนเกิดขึ้นจริง
ระบบตรวจสอบคุณภาพอัตโนมัติ ที่ช่วยให้โรงงานผลิตสินค้าได้แม่นยำขึ้นและลดของเสีย
ขอบคุณวิดีโอจาก : สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง HRDI
IoT (Internet of Things) ทำงานอย่างไร ?
IoT ระบบปฏิบัติการนี้จะมีการทำงานโดยการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อให้สามารถส่ง และรับข้อมูลกันได้ กระบวนการทำงานของ IoT ซึ่งขั้นตอนหลัก ๆ จะมี ดังนี้
เซ็นเซอร์และอุปกรณ์
อุปกรณ์ IoT มักจะมีเซ็นเซอร์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลจากสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น อุณหภูมิ ความชื้น หรือการเคลื่อนไหว เซนเซอร์เหล่านี้จะทำหน้าที่ตรวจจับ และรวบรวมข้อมูล
การเชื่อมต่อ
ข้อมูลที่เก็บได้จากเซนเซอร์จะถูกส่งผ่านเครือข่ายต่าง ๆ เช่น Wi-Fi, Bluetooth, หรือ Cellular ไปยังระบบคลาวด์ หรือเซิร์ฟเวอร์ ที่สามารถเข้าถึงได้จากที่ต่าง ๆ
การประมวลผลข้อมูล
ต่อมาจะเป็นขั้นตอนที่ข้อมูลถูกส่งไปยังระบบคลาวด์จะถูกประมวลผล วิเคราะห์ และจัดเก็บ ข้อมูลที่ได้สามารถใช้เพื่อสร้างข้อมูลเชิงลึก หรือใช้ในการตัดสินใจได้
การวิเคราะห์
ข้อมูลที่ประมวลผลจะถูกวิเคราะห์ เพื่อนำเสนอข้อมูล เช่น การระบุแนวโน้ม หรือการตรวจหาปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
ผลการวิเคราะห์
เมื่อได้ผลการวิเคราะห์ ระบบสามารถทำการตอบสนองอัตโนมัติทันที เช่น ปรับอุณหภูมิในบ้าน หรือส่งการแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้ เมื่อพบปัญหาเกิดขึ้น และผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูล และควบคุมอุปกรณ์ IoT ผ่านแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ ทำให้สามารถติดตาม และจัดการอุปกรณ์ได้จากทุกที่ไม่ว่าจะอยู่บริเวณไหนก็ตาม
IoT ในชีวิตประจำวัน
IoT ไม่ได้เป็นเรื่องของอนาคต แต่มันอยู่รอบตัวเราแล้ว ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
1.บ้านอัจฉริยะ (Smart Home)
ลองจินตนาการถึงการที่คุณสามารถเปิด-ปิดไฟบ้านได้จากระยะไกล หรือให้เครื่องปรับอากาศเปิดเองเมื่อคุณกำลังจะกลับถึงบ้าน
ตู้เย็นอัจฉริยะที่แจ้งเตือนคุณเมื่ออาหารใกล้หมด หรือแม้กระทั่งเสนอสูตรอาหารจากวัตถุดิบที่คุณมีอยู่แล้ว
2. การเดินทางและการขนส่ง
Google Maps และ Waze ใช้ IoT ในการแสดงสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์
รถยนต์ไฟฟ้าและรถไร้คนขับ เช่น Tesla ใช้ IoT ควบคุมระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ ทำให้การเดินทางปลอดภัยขึ้น
IoT ประเทศไทยในยุคของ AI
ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และ IoT กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ประเทศไทยเองก็เริ่มก้าวเข้าสู่โลกแห่งเทคโนโลยีอัจฉริยะมากขึ้นครับ
1. การลงทุนใน 5G และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
การขยายเครือข่าย 5G ทำให้ IoT มีศักยภาพมากขึ้นและเชื่อมต่อได้เร็วขึ้น เมืองใหญ่ ๆ อย่างกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ กำลังเปลี่ยนเป็น Smart City ที่มีระบบจราจรและการบริหารจัดการพลังงานที่อัจฉริยะครับ
2. IoT ในภาคเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming)
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม การนำ IoT มาใช้ในภาคเกษตรช่วยเพิ่มผลผลิตและลดการใช้ทรัพยากร เช่น
เซ็นเซอร์ตรวจจับความชื้นในดิน ที่ช่วยให้เกษตรกรใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดรนเกษตรอัจฉริยะ ที่ช่วยพ่นปุ๋ยหรือวิเคราะห์สุขภาพของพืชไร่
3. IoT ในระบบสาธารณสุข
โรงพยาบาลในไทยเริ่มใช้ IoT เพื่อช่วยดูแลผู้ป่วย เช่น
เตียงผู้ป่วยอัจฉริยะ ที่สามารถวัดค่าต่าง ๆ ของร่างกายและแจ้งเตือนแพทย์ได้ทันที
อุปกรณ์วิเคราะห์สุขภาพทางไกล ที่ช่วยให้แพทย์สามารถติดตามอาการผู้ป่วยได้แบบเรียลไทม์
ทำระบบ IoT ราคาเท่าไหร่
เนื่องจากขอบเขตการทำระบบ IoT มีความกว้างมาก แล้วแต่ว่าต้องการปรับแต่ง หรือนำไปติดตั้งใช้กับระบบไหนในองค์กรทำให้การประเมินราคาจึงขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณต้องการ หากเทียบราคารับทำอย่างง่ายอยู่ในราคาเริ่มต้น 2,000 บาทขึ้นไป แต่ราคานี้จะเป็นการทำระบบอย่างง่าย และเป็นราคาของ Freelance ซึ่งมีความเสี่ยงในการประกันคุณภาพ หากคุณต้องการทำระบบที่ซับซ้อนมากขึ้น และดูแลโดยมืออาชีพจะมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นด้วย สามารถติดต่อเราเพื่อปรึกษาในเรื่องนี้ได้
สรุป
Internet of Things (IoT) ถือเป็นเทคโนโลยีที่สะดวกสบายด้วยการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันผ่านอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้สามารถเก็บข้อมูล และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมการใช้งาน IoT ยังครอบคลุมหลากหลายด้าน เช่น เครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้าน, การดูแลสุขภาพ, ด้านการเกษตร หรือด้านการขนส่ง เรียกได้ว่า IoT นั้นได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้ชีวิตประจำวันนั้นสะดวกสบาย และมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นด้วยครับ สุดท้ายนี้หากสนใจให้พวกเรา Launch Platform ดูแลพัฒนาระบบ IoT ให้กับองค์กรของคุณ สามารถติดต่อปรึกษาเราได้นะครับ
เลือกอ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจในหัวข้อนี้:
ที่มาข้อมูล :
wikipedia : Internet of things