ผู้ที่กำลังเริ่มทำเว็บไซต์จะต้องเตรียมข้อมูลหลายอย่างรวมไปถึงพื้นที่ของเว็บไซต์ด้วย Hosting คืออะไร ทำไมเว็บไซต์ต้องมี ไม่มีได้ไหม และมีราคาเท่าไหร่ เรามาศึกษาไปพร้อม ๆ กัน
Hosting คืออะไร
Hosting คือ พื้นที่สำหรับให้เว็บไซต์ของเราอยู่อาศัย เปรียบเหมือนกับบ้านหลังหนึ่งนั่นเอง เว็บไซต์ที่ไม่มี Hosting จะไม่สามารถออนไลน์ได้ โดยพื้นที่ของเว็บจะมาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับแพ็กเกจที่ซื้อกับผู้ให้บริการแต่ละราย หากเราเลือกพื้นที่มาก จะทำให้เว็บไซต์ของเรามีความเร็วสูง มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูลมาก ลดโอกาสที่จะเกิดอาการเว็บล่มได้
ก่อนการเช่า Hosting สิ่งที่เราจะต้องเตรียมเอาไว้ คือ Domain Name หรือชื่อของเว็บไซต์เอาไว้ก่อน เพื่อใช้ผูกกันในระบบ การเช่า Hosting ปกติจะมีค่าใช้จ่ายเป็นรายปี และควรเลือกขนาดพื้นที่ให้มากกว่าที่เราจะใช้งานจริงในระดับหนึ่ง เพื่อเพิ่มความเสถียรของเว็บไซต์เมื่อต้องรับ Users ในปริมาณมาก
บทความที่เกี่ยวข้อง : Domain Name คืออะไร .com กับ .co.th ต่างกันอย่างไร
Hosting มีกี่ชนิด
การเลือก Hosting ให้เหมาะสมต่อการใช้งานต้องเลือกให้ดีก่อน เพราะส่งผลต่อภาพรวมของการทำงานเว็บไซต์ สำหรับผู้ให้บริการเช่า Hosting ในไทยมีอยู่ด้วยกันหลายเจ้า แต่ละเจ้ามีค่าบริการต่างกัน หน้าที่ของเราคือ ตรวจสอบว่าเจ้าไหนที่มีบริการตามที่เราต้องการบ้าง เพราะการทำเว็บไซต์บางประเภท อาจต้องการ Hosting เฉพาะ เพื่อการทำงานที่ดีที่สุด ดังนี้
Windows Hosting : รองรับการใช้งานสำหรับเว็บไซต์ที่เขียนด้วยภาษาที่หลากหลายทั้ง ASP, ASP.net และ PHP ได้
Linux Hosting : รองรับการใช้งานสำหรับเว็บไซต์ที่เขียนด้วยภาษา PHP ได้เท่านั้น ไม่สามารถรองรับภาษาอื่นได้

5 ประเภทของ Hosting
การเช่าพื้นที่ของ Hosting มีให้เลือกอยู่ทั้งหมด 5 ประเภท ซึ่งแบ่งตามรูปแบบการใช้งาน เราต้องศึกษาความเหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ของเรา โดยมีให้เลือก ดังนี้
1. Shared Hosting
เป็นรูปแบบ Hosting แบ่งเช่า โดยใน Server จะถูกแบ่งพื้นที่ให้แต่ละเว็บไซต์เข้ามาเช่าพื้นที่ เป็นการใช้ข้อมูลร่วมกันในหลายเว็บไซต์ ถือเป็น Hosting ประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยม เพราะมีราคาที่ไม่แพง แต่ก็มีข้อเสียที่ต้องแชร์ร่วมกับผู้อื่น อาจทำให้เว็บไซต์ขาดความเสถียรกรณีที่มีคนใช้งานมากเกินกว่าที่เว็บไซต์รับไหว
2. Dedicated Server Hosting
การเช่าพื้นที่ประเภทนี้จะเป็นการเช่าสำหรับเว็บไซต์ของเราแต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้แชร์พื้นที่กับผู้อื่นเหมือนกับ Shared Hosting เมื่อเราเป็นเจ้าของ Server จะทำให้เว็บไซต์ของเรามีความเสถียรที่สูงมาก สามารถรองรับข้อมูล และการใช้งานได้ดีกว่า เหมาะกับเว็บไซต์ของธุรกิจขนาดกลางขึ้นไป แต่จะมีราคาสูงกว่าแบบ Shared Hosting พอสมควร
3. Virtual Private Server Hosting
รู้จักกันในอีกชื่อ คือ “VPS Hosting” โดยประเภทนี้เหมาะกับผู้ที่วางโครงสร้างธุรกิจแบบ E-commerce ที่ต้องทำทั้งเว็บไซต์ และ Application ตัวของ Server จะมีการจัดข้อมูลที่เป็นระบบ ทำให้เหมาะต่อเว็บไซต์ที่มีแนวโน้มมีผู้เข้าใช้งานเป็นจำนวนมาก เพราะสามารถดึงข้อมูลออกมาแสดงผลได้ง่ายกว่าประเภท Shared Hosting
4. Reseller Hosting
เป็นรูปแบบบริการสำหรับผู้ที่พัฒนาเว็บไซต์สำเร็จรูปเพื่อนำไปขาย ทำให้ต้องมีพื้นที่สำหรับพัฒนาเว็บไซต์หลายเว็บในเวลาเดียวกัน Hosting ประเภทนี้ไม่เหมาะกับเว็บไซต์ที่โฟกัสธุรกิจของตนเองเป็นหลัก
5. WordPress Hosting
เป็นประเภท Hosting ที่ออกแบบมาให้ใช้งานกับเว็บไซต์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วย WordPress เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้มากยิ่งขึ้น หากสร้างเว็บด้วย WordPress ควรหาเช่า Hosting ประเภทนี้เท่านั้น ซึ่งมีทั้งแบบ Shared Hosting และ VPS Hosting

เช่า Hosting ราคาเท่าไหร่
ค่าใช้จ่ายสำหรับการเช่า Hosting สำหรับเว็บไซต์โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วงราคาประมาณ 700-4,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ประเภทของ Hosting ที่เราเลือก, ขนาดของพื้นที่ และราคาที่ผู้ให้บริการกำหนด
วิธีเลือก Hosting ให้ใช้งานได้ดี
ยึดจากรูปแบบการใช้งานของเว็บไซต์ เช่น ถ้าพัฒนาด้วย WordPress ให้เลือก WordPress Hosting ถ้าต้องการทำ Application ให้เลือก Virtual Private Server Hosting
ประมาณพื้นที่ของเว็บไซต์ ไม่ควรเลือกพื้นที่ขนาดพอดี แต่ควรเผื่อเอาไว้เพื่อให้เว็บสามารถทำงานได้อย่างเสถียรอยู่ตลอด
ศึกษาผู้ให้บริการให้ดีที่สุดก่อนตัดสินใจ เพราะถึงแม้ราคาอาจจะไม่ต่างกันมาก แต่การจ่ายแพงกับบางผู้ให้บริการ อาจไม่ได้ทำให้เว็บไซต์รวดเร็ว และเสถียรตามเรตราคาก็ได้เช่นกัน
ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการดูแล Server เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์
Customer Service หรือทีม Support จะต้องสามารถติดต่อได้ไม่ยาก ควรเลือกแบบที่ติดต่อได้ 24 ชั่วโมง และมีอัตราการตอบข้อความที่รวดเร็ว
การเช่า Hosting มีความสำคัญในการจัดทำเว็บไซต์ใหม่ จึงต้องเลือกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในส่วนนี้เองเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเริ่มทำเว็บไซต์ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังต้องเรียนรู้ และจัดการต่อไป เพื่อให้ได้เว็บไซต์ที่ดีพอสำหรับคุณเอง
เลือกอ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจในหัวข้อนี้:
ที่มาข้อมูล : 1, 2