หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับการสร้างเว็บไซต์ขายของออนไลน์ก็คือ Shopify ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม E-Commerce ที่มีระบบการใช้งานครบวงจร ช่วยให้การสร้างร้านค้าออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ หรือเจ้าของกิจการที่ต้องการขยายแบรนด์ก็ตาม
ดังนั้น เพื่อให้คุณเข้าใจและรู้จัก Shopify มากขึ้น ในบทความนี้ Launch Platform จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Shopify ว่าคืออะไร ? และในปี 2025 นี้ แพลตฟอร์มนี้ยังน่าลงทุน และใช้งานอยู่หรือไม่ ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลยครับ
กดเลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
Shopify คืออะไร
Shopify คือ เครื่องมือ CMS (Content Management System) ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างและจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ในรูปแบบ E-Commerce โดยเฉพาะ ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถเปิดร้านค้าออนไลน์ และขายสินค้า รวมถึงบริการต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาช่องทางมาร์เก็ตเพลส หรือโซเชียลมีเดีย
บทความที่เกี่ยวข้อง : 30 ตัวอย่าง Web Design ไอเดียออกแบบหน้าเว็บ 2025
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Sundae Solutions
ส่องจุดเด่นของ Shopify มีอะไรบ้าง
นอกจากนี้ Shopify ยังมาพร้อมระบบจัดการหลังร้านที่ครบถ้วน ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถโฟกัสไปที่การขายสินค้าและบริการได้อย่างเต็มที่ครับ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องระบบหลังบ้านให้ยุ่งยาก โดยจุดเด่นหลัก ๆ ของ Shopify มีดังนี้
การจัดการสต๊อก : ช่วยให้สามารถตรวจสอบและจัดการจำนวนสินค้าคงเหลือได้อย่างง่ายดาย พร้อมระบบแจ้งเตือนเมื่อสินค้ากำลังจะหมดสต๊อก
ระบบชำระเงิน : รองรับหลากหลายช่องทางการชำระเงิน ทั้งบัตรเครดิต เดบิต หรือ PayPal ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกวิธีจ่ายเงินได้อย่างสะดวก
การติดตามคำสั่งซื้อ : เจ้าของร้านสามารถตรวจสอบสถานะคำสั่งซื้อ ตั้งแต่การรับออเดอร์ ไปจนถึงการจัดส่งสินค้าได้แบบเรียลไทม์ เพิ่มความมั่นใจให้ทั้งเจ้าของร้านและลูกค้า
การดูแล 24 ชั่วโมง : Shopify มีทีมงานมืออาชีพคอยให้บริการช่วยเหลือและตอบคำถามตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านช่องทางแชต, อีเมล และโทรศัพท์ ช่วยให้เจ้าของธุรกิจแก้ไขปัญหาได้ทันที
สำรวจราคาแพ็กเกจ ของ Shopify เริ่มต้นที่เท่าไหร่
การสร้างเว็บไซต์ผ่าน Shopify ไม่เพียงแค่ได้เว็บไซต์ที่สวยงาม ทันสมัย และเหมาะกับการทำธุรกิจในยุคใหม่เท่านั้น แต่ยังมาพร้อมระบบหลังบ้านที่ช่วยตรวจสอบ และสนับสนุนการทำงาน ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายของ Shopify จะคิดเป็นรายเดือน และแบ่งออกเป็น 3 แพ็กเกจหลัก ๆ ได้แก่
Basic Shopify : ราคา 29 USD หรือประมาณ 900 บาทต่อเดือน เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นสร้างแบรนด์ หรือธุรกิจขนาดเล็ก ที่ต้องการเว็บไซต์ง่าย ๆ พร้อมฟังก์ชันพื้นฐานสำหรับการขายสินค้าออนไลน์
Shopify : ราคา 79 USD หรือประมาณ 2,600 บาทต่อเดือน เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีรายได้คงที่ และอยู่ในช่วงกำลังขยายตัว โดยแพ็กเกจนี้จะมีฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการร้านค้าได้ดียิ่งขึ้น
Advanced Shopify : ราคา 299 USD หรือประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีความต้องการเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และฟีเจอร์ขั้นสูง เพื่อรองรับยอดขายและการขยายธุรกิจ

มัดรวมข้อดี - ข้อเสีย Shopify ก่อนเลือกใช้งาน
หลังจากที่ได้รู้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ Shopify ไปแล้ว คราวนี้เรามาดูกันต่อครับว่า จุดเด่นและข้อจำกัดของแพลตฟอร์มนี้มีอะไรบ้าง เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ก่อนเลือกใช้งานจริง ดังนี้
ข้อดี
ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้าน Coding ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ขายสินค้าได้
สามารถเลือกเทมเพลต และปรับแต่งดีไซน์ให้เหมาะสมกับแบรนด์ได้หลากหลาย
มีลูกเล่นเกี่ยวกับระบบ E-Commerce ครบวงจร และรองรับการขยายธุรกิจทุกขนาด
ระบบมีความเสถียรสูง พร้อมทีมซัพพอร์ตให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
เชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Instagram ช่วยขยายช่องทางการขาย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้สะดวกยิ่งขึ้นครับ
รองรับการชำระเงินหลากหลายรูปแบบ ทั้งธุรกรรมภายในประเทศ และธุรกรรมระหว่างประเทศ เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ซื้อออนไลน์ทั่วโลก
ข้อเสีย
ค่าใช้จ่ายรายเดือนค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับการใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปประเภทอื่น
หากต้องการปลั๊กอินเฉพาะทาง อาจเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
การย้ายข้อมูลไปยังแพลตฟอร์มอื่นในอนาคต มีความเสี่ยงที่ข้อมูลจะสูญหาย

Shopify ในปี 2025 ยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่
การสร้างเว็บไซต์ที่ดี ควรเริ่มต้นจากการกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถวางแผนและออกแบบเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณครับ ทั้งนี้ หลายคนอาจคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง WordPress หรือ Wix ซึ่งเหมาะสำหรับการทำเว็บไซต์หลากหลายประเภท แต่ถ้าพูดถึงเว็บไซต์สำหรับขายของออนไลน์โดยเฉพาะ Shopify ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยมีความแตกต่างจากเครื่องมือ CMS อื่น ๆ ดังนี้
1.การดูแลรักษา
ในส่วนของการดูแลรักษา หรือระบบโฮสติง (Hosting) Shopify มีบริการโฮสติงแบบครบวงจร ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเซิร์ฟเวอร์ล่ม รวมถึงการอัปเดตระบบต่าง ๆ ซึ่งทาง Shopify จะดูแลจัดการให้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย เจ้าของเว็บไซต์จึงสามารถโฟกัสกับการขายสินค้าและบริการได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องเสียเวลาแก้ไขระบบหลังบ้านด้วยตัวเอง
2.การปรับแต่ง
Shopify เน้นการออกแบบธีมที่เหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ พร้อมระบบปรับแต่งที่ใช้งานง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของเว็บไซต์หรือความเสถียรในการทำธุรกรรม เนื่องจาก Shopify ได้วางระบบรองรับไว้เป็นอย่างดี ทำให้มั่นใจได้ว่าการซื้อ-ขายสินค้าบนเว็บไซต์จะราบรื่น
3.ค่าธรรมเนียม
อย่างที่ทราบกันดีว่า ค่าธรรมเนียมการใช้งานของ Shopify มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ แต่ก็แลกมาด้วยความสะดวกสบายและระบบที่ครบวงจร อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับ WordPress จะเห็นว่าค่าใช้จ่ายของ WordPress มีความยืดหยุ่นมากกว่า เนื่องจากสามารถเริ่มต้นใช้งานได้ฟรี
สรุป
สุดท้ายนี้ Shopify คือเครื่องมือสำหรับสร้างเว็บไซต์ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจขายของออนไลน์โดยเฉพาะ ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของแบรนด์หรือผู้ประกอบการมือใหม่ ก็สามารถเริ่มต้นสร้างร้านค้าออนไลน์ได้ง่าย ๆ และสำหรับใครที่สนใจ ทาง Shopify ยังมีบริการทดลองใช้งานฟรีนานถึง 3 เดือน เพื่อให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์จริงก่อนตัดสินใจลงทุน
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ที่มาข้อมูล :
Shopify : What Is Shopify and How Does It Work? (2025) - Shopify
Coursera : What Is Shopify and How Does It Work? | Coursera
WAC : What Is Shopify And How Does It Work (2025 Guide)