Front-End กับ Back-End คืออะไร ต่างกันอย่างไร?
การพัฒนาเว็บไซต์ ในปัจจุบันมีความซับซ้อน และพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ ทำให้การพัฒนามีความยากมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นนักพัฒนาจึงต้องมีความเชี่ยวชาญ และสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์ได้ ตำแหน่ง Front-End กับ Back-End จึงเป็นตำแหน่งที่สำคัญในการพัฒนา และดูแลระบบ ในบทความนี้เราจะพาไปรู้จักกับทั้งสองตำแหน่งนี้กัน ว่าแตกต่างกันอย่างไร
Front-End คืออะไร?
Front-End เป็นเสมือนส่วนหน้าบ้านของเว็บไซต์ หรือแอปฯ โดยจะแสดงหน้าตาของเว็บไซต์ และแอปฯให้ผู้เข้าชม หรือผู้ใช้งานได้เห็น และโต้ตอบร่วมกันภายในเว็บเบราว์เซอร์ได้ ตั้งแต่โครงสร้างของเว็บไซต์ เนื้อหาต่าง ๆ รูปภาพ ลิงก์ ไปจนถึงการออกแบบ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยดึงดูด และทำให้ผู้อื่นสนใจได้นั่นเอง
สำหรับนักพัฒนา Front-End จะต้องสามารถรับผิดชอบในการพัฒนาส่วนที่ติดต่อกับผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้ใช้งานสามารถมองเห็น และสื่อสารกับระบบได้โดยตรง หรือที่เราเรียกกันว่า UX/UI นั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าต้องคอยควบคุมดูแล และสร้างเว็บไซต์ให้มีหน้าตาและการใช้งานได้ถูกต้องตามที่ออกแบบไว้
บทความที่เกี่ยวข้อง : Web Developer คืออะไร ค่าจ้างแพงไหมในการทำเว็บไซต์
ทำความเข้าใจในการพัฒนา Front-End
การพัฒนา Front-End จะต้องมองเห็น และเข้าใจภาพรวมของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการ และยังสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น
1. ภาษาหลักที่ใช้ในการพัฒนา Front-End
ในการพัฒนา Front-End ส่วนใหญ่แล้ว จะมีการใช้ 3 ภาษาเป็นหลัก โดยไม่มีการใช้ภาษาอื่นขึ้นมาแทนที่ 3 ภาษาหลัก เพราะต้องใช้ Web Browser เช่น Internet Explorer, Chrome, Firefox ฯลฯ ในการประมวลผลเป็นหลักนั่นเอง
HTML (HyperText Markup Language): HTML เป็นเหมือนแกนหลักของเว็บไซต์ เพราะทุกเว็บไซต์ล้วนถูกสร้างขึ้นด้วย HTML ซึ่งมีหน้าที่ดูแลโครงสร้าง และเนื้อหาทั้งหมด โดยเป็นภาษาที่ใช้ Tag ในการกำหนดการแสดงผลของหน้าเว็บเพจที่เชื่อมกันใน Hyperspace ผ่าน Hyperlink นั่นเอง เช่น ส่วนหัว ย่อหน้า รูปภาพ ลิงก์ เป็นต้น
CSS (Cascading Style Sheets): CSS จะช่วยควบคุมการนำเสนอ และเค้าโครงขององค์ประกอบ HTML ทำให้นักพัฒนาสามารถกำหนดลักษณะที่จะปรากฏของภาพ สี แบบอักษร การเว้นวรรค และการตอบสนองสำหรับขนาดหน้าจอที่แตกต่างกันได้
JavaScript: JavaScript เป็นภาษาแบบไดนามิก ที่จะช่วยให้ผู้พัฒนา สามารถสร้างเว็บเพจได้ตรงตามความต้องการ และมีความน่าสนใจได้ เช่น ภาพเคลื่อนไหว การตรวจสอบแบบฟอร์ม การอัปเดตเนื้อหาแบบไดนามิก และการโต้ตอบกับเบราว์เซอร์
2. การใช้เครื่องมือในการพัฒนา Front-End
ในการพัฒนา Front-End จะมีการใช้เครื่องมือที่หลากหลาย เช่น React, Angular และ Vue.js เพื่อให้สามารถมอบส่วนประกอบ และโครงสร้างที่สร้างไว้ล่วงหน้าเพื่อเร่งการพัฒนา และรับประกันความสอดคล้องกันระหว่างโปรเจกต์
Framework: Framework เป็นชุดคำสั่ง หรือโครงสร้างที่จะกำหนดรูปแบบการเขียนโค้ด เพื่อช่วยในการสร้าง และพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยจะมีการกำหนดโครงสร้างของโปรแกรมที่ต้องการพัฒนาไว้แล้ว ทำให้เราสามารถเขียนโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรงตามมาตรฐาน
Library: Library เป็นชุดของโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานบางอย่าง โดยที่เราสามารถนำไปใช้ในโปรแกรมของเราได้ เช่น การสร้างช่อง Search ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว Library จะไม่เป็นโครงสร้างที่ครอบคลุมการทำงานทั้งหมดของโปรแกรม
3. การออกแบบ Responsive
Responsive เป็นการออกแบบเว็บไซต์แบบใหม่ ที่ยึดหลัก Mobile-First โดยจะมีการปรับเปลี่ยนขนาดของเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการแสดงผลบนหน้าจอขนาดต่าง ๆ รวมถึงความละเอียดของหน้าจอในอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน โดยใช้เทคนิคเช่นคำสั่งสื่อ และกริด/เลย์เอาต์ที่ยืดหยุ่น จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญสำหรับนักพัฒนา Front-End นั่นเอง
Back-End คืออะไร?
Back-End เป็นการพัฒนาโปรแกรมในส่วนของหลังบ้าน หรือการทำงานเบื้องหลังของส่วนต่าง ๆ ในเว็บไซต์ โดยจะเป็นส่วนที่ผู้ใช้งานไม่สามารถโต้ตอบได้โดยตรง โดยจะคอยเชื่อมโยงกับทาง Front-end เพื่อทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นรากฐานของระบบทั้งหมดนั่นเอง
สำหรับการพัฒนา Back-End ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลทั้งรหัสต่าง ๆ การจัดการฐานข้อมูล โครงสร้างเว็บไซต์ หรือการเขียนโค้ดควบคุม โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีไว้สำหรับผู้ที่ได้รับอนุญาต เพื่อทำการปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์นั่นเอง
ทำความเข้าใจในการพัฒนา Back-End
ในการพัฒนา Front-End นั้น จะเป็นการเขียนโปรแกรมเพื่อให้คนภายนอก สามารถเข้ามาใช้งานเว็บไซต์ได้ตามฟังก์ชันที่ออกแบบไว้ แต่สำหรับ Back-End นั้น ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้ภายในทีม หรือผู้ได้รับอนุญาตสามารถเข้าใช้งานเท่านั้น นั่นหมายถึงเครื่องมือ และภาษาในการพัฒนาก็จะแตกต่างกันออกไปนั่นเอง
1. ภาษาหลักที่ใช้ในการพัฒนา Back-End
ส่วนใหญ่แล้วในการพัฒนา Back-End มักจะนิยมใช้ภาษา เช่น Python, JavaScript (Node.js), Ruby, Java หรือ PHP ซึ่งก็จะมีการใช้แต่ละภาษาที่แตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับความเหมาะนั่นเอง
Python: Python เป็นหนึ่งในภาษาโปรแกรมระดับสูงที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีโครงสร้าง และ ไวยากรณ์ของภาษาที่ไม่ซับซ้อน สามารถเข้าใจได้ง่าย นอกจากนั้น Python จะทำหน้าที่ทำงานแปลชุดคำสั่งทีละบรรทัด เพื่อป้อนเข้าสู่หน่วยประมวลผล เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่เราต้องการ หรือเรียกว่าการทำงานแบบ Interpreter นั่นเอง
JavaScript: JavaScript เป็นอีกหนึ่งภาษาที่ใช้ได้หลากหลาย ทั้งในฝั่งของ Front-End และ Back-End ทำให้หลาย ๆ องค์กรมักจะใช้ภาษานี้ในการพัฒนาเว็บไซต์นั่นเอง แต่ในส่วนของการพัฒนา Back-End มักจะใช้ภาษานี้ร่วมกับ Libraries ที่มีชื่อว่า Node.js ซึ่งทำหน้าที่เป็น Runtime Environment แบบ Cross-Platform
Ruby: Ruby เป็นอีกหนึ่งภาษาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการพัฒนา Back-End เพราะเป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นสูง ประสิทธิภาพดี และใช้งานง่าย เนื่องจากสามารถอ่านไวยากรณ์ได้ง่าย และยังสามารถใช้ได้ในหลาย OS
2. การจัดการ Database และ Server
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Back-End นั้น มีความสำคัญอย่างมาก เพราะว่าต้องคอยดูแลระบบหลังบ้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล หรือในส่วนของ Server นั่นเอง
Database: ในการพัฒนา Back-End จะต้องมีการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลมาใช้ เช่น ในกรณีที่ผู้ใช้งานจะทำการกรอกข้อมูลต่าง ๆ โดยระบบจะต้องสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลได้ เพื่อทำการตรวจสอบว่าข้อมูลที่ผู้ใช้งานกรอกมาถูกต้องไหม เป็นต้น ดังนั้นความรู้เกี่ยวกับฐานข้อมูลจึงสำคัญมาก
Server: การทำงานของ Back-End นั้นจะต้องทำงานอยู่กับเซิร์ฟเวอร์เป็นประจำ ดังนั้นควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ Web Servers ด้วย โดยเครื่องมือที่ใช้จัดการกับเซิร์ฟเวอร์ที่นิยมใช้กัน คือ Apache และ Nginx เป็นต้น
Front-End กับ Back-End เกี่ยวข้องกันอย่างไร?
Front-End และ Back-End ถือว่าเป็นส่วนการพัฒนาที่ต้องมาข้องเกี่ยวกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น หาก Front-End มีการแสดงผลที่ล่าช้า หรือเกิดข้อผิดพลาด ในส่วนของ Back-End ก็จะต้องคอยทำการแก้ไข และจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้
นอกจากนั้นหาก Back-End ไม่มีการปรับปรุงเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ก็จะส่งผลต่อเว็บไซต์ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์ล้าหลัง ขาดความน่าสนใจ ผู้ใช้งานเข้ามาเยี่ยมชมลดลง ซึ่งในส่วนนี้ก็จะก่อให้เกิดผลกระทบหลาย ๆ ด้านกับเว็บไซต์ของเราได้นั่นเอง
Front-End กับ Back-End แตกต่างกันอย่างไร?
ความแตกต่างของ Front-End กับ Back-End นั้น หลัก ๆ แล้วจะเป็นภาษาที่ใช้พัฒนาโปรแกรม และกลุ่มผู้ใช้งานที่แตกต่างกัน และการทำงานที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากการใช้งานเว็บไซต์นั้นแสดงข้อมูลที่ไม่เยอะ Front-End จะต้องออกแบบให้ออกมาสวย และใช้งานง่าย แต่ถ้าหากเว็บไซต์ข้อมูลเยอะใน ส่วนของ Back-End ก็จะต้องจัดการข้อมูล และจัดการเว็บไซต์อย่างไรเพื่อไม่ให้ระบบนั้นช้าลง
ซึ่งทั้ง Front-End และ Back-End ต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งสองก็มีความสำคัญเท่ากัน แน่นอนว่าถ้าขาด Front-End และ Back-End ไป เว็บไซต์ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ รวมไปถึงเว็บไซต์ก็จะได้รับการดูแลที่ไม่ดีพอในกรณีที่ชาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปนั่นเอง
Front-End กับ Back-End สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนาเว็บไซต์
Front-End กับ Back-End ถือเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเว็บไซต์ โดยจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างสิ่งที่ใช้งานได้จริง และใช้งานง่าย โดยผสมผสานทักษะทางเทคนิคต่าง ๆ โดยที่จะต้องรับประกันการทำงานที่ราบรื่นของเว็บไซต์ให้ได้นั่นเอง Front-End กับ Back-End จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้
เลือกอ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจในหัวข้อนี้: