เว็บไซต์มีหลายแบบ มีหลายประเภทมากกว่าที่คุณคิด ประเภทของเว็บไซต์มักแบ่งตามรูปแบบของการใช้งานที่ชัดเจน หากคุณกำลังสนใจเรื่องนี้ ต้องอ่านบทความนี้
กดเลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
ทำไมเว็บไซต์มีหลายประเภท
หลายคนเข้าใจว่าเว็บไซต์ก็คือเว็บไซต์ แล้วทำไมจึงต้องแบ่งประเภทออกมา เพราะสุดท้ายแล้วก็อยู่ที่การดีไซน์เว็บของนักพัฒนา แต่ด้วยเหตุผลด้านการพัฒนาเว็บไซต์นี่แหละที่ต้องมีการสโคปงาน และระบบเพื่อความเหมาะสม ทำให้เกณฑ์ที่นำมาใช้แบ่งชนิดของเว็บไซต์จึงเป็น "จุดประสงค์ของการใช้งาน" เพื่อให้ทีมพัฒนาเว็บไซต์สามารถเข้าใจขอบเขตของเว็บไซต์ ระบบที่ต้องมีแน่นอน และระบบที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังทำให้สะดวกต่อการพูดคุยในช่วงวางแผนทำเว็บไซต์ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนในการทำเว็บ โดยบางประเภทสามารถใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการทำได้เลย เช่น Portfolio Website ในขณะที่บางชนิดจำเป็นต้องใช้ Web Developer ในการทำ เช่น Corporate Website เป็นต้น
10 ประเภทของเว็บไซต์ตามรูปแบบการใช้งาน
ก่อนเริ่มลงมือทำเว็บไซต์ จะต้องรู้ก่อนว่าเว็บไซต์ที่เราต้องการเป็นเว็บไซต์ประเภทไหน แตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้มีแนวทางในการพัฒนาที่ถูกต้อง โดยทั่วไปการแบ่งประเภทของเว็บไซต์จะแบ่งจากลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน เพื่อให้เข้าใจถึงความแตกต่างได้ง่ายที่สุด สามารถแบ่งออกได้ทั้งหมดเป็น 10 ประเภท
บทความที่เกี่ยวข้อง : ตอบข้อสงสัย ทำเว็บไซต์ราคาเท่าไหร่ ปี 2024 ใช้ทุนแค่ไหน?
ขอบคุณวิดีโอจาก : Wutthipong Chinnasri
1. Business/Corporate Website
เป็นการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อองค์กร ถือเป็นเว็บไซต์ที่มีมูลค่ามากที่สุด เพราะต้องใช้ต้นทุนสูงในการพัฒนา เป็นเว็บไซต์ที่ต้องเน้นทั้งความปลอดภัย และการใช้งานที่ซับซ้อน โดยทั่วไปเว็บไซต์ประเภทนี้ทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูล สร้างตัวตนของบริษัท เช่น ประวัติ, โครงสร้างบริษัท หรือผลงาน เป็นต้น Business/Corporate Website บางบริษัทยังวาง Service ที่สามารถขาย Product ได้แบบ E-Commerce อีกด้วย
ตัวอย่าง : เว็บไซต์ SCG
2. E-Commerce Website
เป็นประเภทของเว็บไซต์ที่เน้นให้บริการขาย Product เป็นส่วนใหญ่ การแสดงผล และการใช้งานที่เกิดขึ้นมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการขาย เช่น ระบบตะกร้าสินค้า, ระบบแสดงราคาสินค้า, ระบบชำระเงิน และระบบ Chat เป็นต้น ปัจจุบันมีเว็บไซต์ประเภท E-Commerce เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก หากเราสามารถซื้อสินค้าบนเว็บได้จนจบกระบวนการ นับว่าเป็นเว็บไซต์ประเภทนี้ทั้งหมด แม้แต่ธุรกิจบางสายก็มีการปรับตัวมาด้านนี้ เช่น เว็บไซต์คลินิกที่ออกแบบมาให้ทำการซื้อแพ็กเกจจ่ายเงิน และทำการจอง หรือซื้อสินค้าด้านสุบภาพผิวได้โดยตรง เป็นต้น
ตัวอย่าง : เว็บไซต์ Apple
3. Information Website
ประเภทเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อรวบรวมข้อมูล ให้ข้อมูลที่หลากหลาย หรือเจาะข้อมูลประเภทใด ประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ เน้นไปที่การรวบรวมข้อมูลให้ผู้อื่นนำไปใช้ต่อไป ไม่ได้เป็นการขายภาพลักษณ์ของบริษัท และไม่ได้ขาย Product ใด ๆ เป็นอีกหนึ่งประเภทที่หลายบริษัทต้องการให้บริษัทออกแบบเว็บไซต์ช่วยทำเช่นกัน
ตัวอย่าง : เว็บไซต์ Wikipedia
4. Membership Website
ปัจจุบันหลายคนอาจคุ้นเคยกับเว็บไซต์ประเภทนี้ เพราะต้องทำการสมัครสมาชิกก่อน ถึงจะสามารถเข้าใช้งานฟังก์ชันหลักของเว็บไซต์นั้น ๆ ได้ หรือที่เราเรียกว่า “Subscription” มักจะต้องจ่ายเป็นรายเดือน หากไม่ได้ทำการ Subscription จะไม่สามารถใช้งานเว็บไซต์ได้เต็มที่
ตัวอย่าง : เว็บไซต์ Netflix
5. Blog Website
หากใครอยู่ในสาย Content หรือทำการตลาดออนไลน์ คงต้องรู้จักเว็บไซต์ประเภทนี้แน่นอน Blog Website จะนำเสนอการใช้งานเน้นหนักไปที่ระบบเดียว คือ การลงบทความในเว็บไซต์ โดยจะมีเครื่องมือที่มีความจำเป็นในการใช้เขียนบทความ สามารถจัดการเนื้อหาเวลาโพสต์บทความ สามารถแก้ไขบทความได้ และต้องออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายด้วย
ตัวอย่าง : เว็บไซต์ Medium
6. Online Forum Website
เว็บไซต์ประเภทนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมของผู้คนที่สนใจในสิ่งที่เหมือนกัน หรือที่เรียกว่า “Community” โดยมีการใช้งานหลัก คือ การตั้งกระทู้ขึ้นมาว่าต้องการจะพูดคุยเรื่องอะไร และระบบ Comment แสดงความคิดเห็นในกระทู้นั้น ๆ เว็บไซต์ประเภทนี้เป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยเช่นกัน
ตัวอย่าง : เว็บไซต์ Pantip
7. Portfolio Website
เป็นเว็บไซต์ที่เน้นการลงรูปภาพผลงานของเจ้าของเว็บไซต์ ตรงตามชื่อคือเว็บที่ใช้ทำ Portfolio เก็บเอาไว้สมัครงาน เว็บไซต์ประเภทนี้ผู้บริการมักจะเน้นการออกแบบการใช้งานที่ใช้งานได้ง่ายที่สุด เพื่อให้เข้าถึงผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก และมักมีระบบใช้งานแบบฟรีรองรับด้วย อย่างไรก็ตาม Portfolio Website ไม่ได้เป็นที่นิยมมากในประเทศไทย
ตัวอย่าง : เว็บไซต์ Wix
บทความที่เกี่ยวข้อง : Wix ราคาเท่าไหร่? อัปเดตใหม่ปี 2024 พร้อมข้อมูลอย่างละเอียด
8. Non-profit Website
เราอาจเคยได้ยินคำว่า “องค์กรไม่แสวงหากำไร (Nonprofit Organizations)” ซึ่งองค์กรเหล่านี้จะมีการจัดทำเว็บไซต์ขึ้นมาเช่นกัน เป็นอีกประเภทหนึ่งของเว็บไซต์ โดยมากจะเป็นหน่วยงานที่ได้รับความน่าเชื่อถือในสังคมสูง
ตัวอย่าง : เว็บไซต์ UNICEF
9. Event Website
เว็บไซต์ที่มีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมภาพรวมของการไปทำกิจกรรมต่าง ๆ เอาไว้ โดยจะเน้นที่การลงรูปภาพ รายละเอียดของงาน และวันที่ไปทำกิจกรรม เป็นต้น เว็บไซต์ประเภทนี้มักเป็นของทางราชการ หรือองค์กรที่มีพื้นที่ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ
ตัวอย่าง : เว็บไซต์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
10. Personal Website
รูปแบบประเภทเว็บไซต์ที่ถือว่ามีจุดกำเนิดขึ้นมาเป็นประเภทแรก ๆ เป็นเว็บไซต์ของบุคคลหนึ่งเท่านั้น โดยจะรวมข้อมูลที่บุคคลต้องการเก็บเอาไว้ เช่น ข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ น้ำหนัก ส่วนสูง, ลงรูปภาพว่าวันนี้ไปทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง หรือแชร์แง่มุมความคิดของตนเอง เป็นต้น
ตัวอย่าง : เว็บไซต์ Quinnton Harris
เว็บไซต์ประเภทไหนได้รับความนิยมมากที่สุด
ในประเทศไทยมีเว็บไซต์ทุกประเภทที่เรากล่าวขึ้นมา แต่ที่คนทั่วไปมักจะคุ้นชินกันมากที่สุด คือ เว็บไซต์ E-Commerce ซึ่งเป็นเว็บไซต์ประเภทขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งมีอยู่หลายผู้ให้บริการในประเทศไทย เช่น Shopee หรือ Lazada เป็นต้น นอกจากนี้อีกประเภท คือ Blog Website ซึ่งเป็นการให้ความรู้ หรือข่าวสารต่าง ๆ เช่น เว็บข่าวต่าง ๆ ที่เรามักเข้าไปอ่านกันนั่นเอง ที่เว็บไซต์ 2 ประเภทนี้ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทย เกิดจากการที่พฤติกรรมของคนไทยมีแนวโน้มที่ชอบซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น และชอบอ่านเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งข่าว และความบันเทิง ส่วนเว็บไซต์ที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก หรือไม่ค่อยพบเห็นได้ทั่วไป คือ Portfolio Website และ Personal Website เนื่องจากเป็นการใช้งานแบบเฉพาะตัวบุคคล
การออกแบบเว็บไซต์ที่ใช้งานเฉพาะบุคคลไม่ใช่เรื่องยาก แต่เว็บไซต์สำหรับบริษัท จะต้องใช้ความชำนาญในการพัฒนาที่สูงมาก หากคุณกำลังมองหาผู้ให้บริการพัฒนาเว็บไซต์ สามารถติดต่อเราได้ หรือศึกษารายละเอียดแพ็กเกจทำเว็บไซต์ได้ที่นี่
เลือกอ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจในหัวข้อนี้:
ที่มาข้อมูล : 1, 2