Search Engine หมายถึงอะไร มีวิธีการทำงานอย่างไร
รู้หรือไม่ว่า Search Engine หมายถึงอะไร ทำงานอย่างไร สำหรับเครื่องมือที่สำคัญในยุคดิจิทัลตัวนี้สามารถช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างมาก บทความนี้จะมาเล่าเรื่องเหล่านี้ให้คุณฟังเอง
กดเลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
Search Engine หมายถึงอะไร
Search Engine คือ คำที่ใช้เรียกเครื่องมือค้นหาข้อมูลต่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น Google และ Safari เป็นต้น โดยปกติจะแสดงผลออกมาเป็นรูปแบบการค้นหาเว็บไซต์, รูปภาพ และวิดีโอ แม้จะมีให้เลือกใช้หลายตัว แต่จุดที่แตกต่างกันมีเพียงระบบปฏิบัติการเท่านั้น รวมถึงเครื่องมือการใช้งานบางส่วน อีกจุดหนึ่ง คือ หากใช้เครื่องมือ Search Engine ที่ต่างกันมาค้นหาข้อมูลแบบเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยอีกด้วย
ถ้าคุณสนใจเรื่อง Search Engine อย่ามองข้ามบทความนี้ :
แชร์การทำ SEO ให้ติดหน้าแรกแบบ Organic จากประสบการณ์จริง
ทำไมภาพจำของ Search Engine คือ Google
หลายคนที่เข้าวงการออนไลน์มาอาจพบว่าเมื่อพูดถึงเครื่องมือที่ใช้ค้นหาข้อมูลทีไร สิ่งแรกที่จะนึกเข้ามาในหัวทันทีคือ Google เหตุผลนั้นมาจากผลิตภัณฑ์ชื่อดังของ Google อย่าง Google Chrome ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจนได้รับความนิยม และกินส่วนแบ่งการตลาดไปถึง 80% ด้วยการใช้งานที่เน้นง่าย มีของเล่นเสริมผ่าน Extension เยอะ ประกอบกับการรองรับบริการของ Google อื่น ๆ เช่น อีเมล และ Drive อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
แม้ว่า Google Chrome จะเป็น Search Engine ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ไม่ได้หมายความว่าตัวอื่น ๆ จะไม่สำคัญ เพราะอีกหนึ่งตัวที่น่าสนใจ คือ Safari ของ iOS ที่โดดเด่นอย่างมากในเรื่องของการเก็บข้อมูล และความปลอดภัยในการใช้งานนั่นเอง ดังนั้นคุณจะเลือกใช้เครื่องมือตัวไหนในการหาข้อมูล ขึ้นอยู่กับความชอบ และความถนัดของตัวคุณเองแล้วละ
3 ขั้นตอนการทำงานของ Search Engine
ตั้งแต่หัวข้อนี้เป็นต้นไปเราจะดึงข้อมูลอ้างอิงจาก Google Chrome เป็นหลัก จากข้อมูลของ Search Central ได้เผยถึงการทำงานของ Bot ที่ทำหน้าที่ในการค้นหาข้อมูล และนำข้อมูลมาแสดงผลให้เราเห็น โดยกระบวนการจะเกิดขึ้นทั้งหมด 3 ขั้นตอน ดังนี้
การเก็บข้อมูล (Crawling) : การที่ Bot เดินทางไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูลของเว็บไซต์นั้น ๆ มาจัดเตรียมไว้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป
การจัดทำดัชนี (Indexing) : เป็นขั้นตอนที่ระบบจะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ และตัดสินว่าข้อมูลมีประโยชน์มากพอที่จะนำไปแสดงผลจริงหรือไม่
การแสดงผลการค้นหา (Ranking) : ขั้นตอนสุดท้าย คือ การนำข้อมูลที่ผ่านการทำดัชนี มาทำการจัดอันดับและแสดงผลผ่านเครื่องมือค้นหา ออกเป็นเว็บไซต์ในหน้าการค้นหา รูปภาพต่าง ๆ รวมถึงวิดีโอ อย่างที่เราเห็นกันในตอนนี้
สนใจบริการ : รับทำเว็บไซต์ เริ่มต้นเพียงหน้าละ 3,500 บาท ออกแบบผ่าน UX/UI Designer พร้อมให้คำแนะนำด้าน SEO
ระยะเวลาที่ Search Engine ทำงานในแต่ละรอบ
การทำงานของ Google Bot จะเกิดขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้วยจำนวนเว็บไซต์ที่ออนไลน์ในโลกของเรามีปริมาณมากเกินกว่าจะจัดการได้ในครั้งเดียว วิธีการทำงานที่ Google ใช้ คือ ตัวของ Bot จะวิ่งไปทำ Crawling เว็บไซต์หนึ่ง ๆ ในระยะห่างที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบของเว็บไซต์นั้น ๆ โดยจะคำนึงจากค่าสถิติว่าเว็บไซต์แต่ละเว็บมีการเคลื่อนไหวบ่อยแค่ไหน ถ้าเคลื่อนไหวบ่อย Bot จะวิ่งมาเก็บข้อมูลบ่อยเช่นกัน
โดยรูปแบบการเก็บข้อมูลจะสามารถสังเกตได้จากเครื่องมือของ Google ที่เรียกว่า Google Search Console ตรงบริเวณมุมบนขวาของกราฟในเมนู Performance เราจะเห็นว่าเว็บไซต์ของเราถูก Bot มาทำการ Crawling ล่าสุดตอนไหนนั่นเอง โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้เวลาห่างกันหลักชั่วโมง แต่ในบางกรณีอาจมีระยะห่างถึง 1-2 วันก็ได้เช่นกัน
Search Engine มีอะไรบ้างที่น่าใช้งาน
เครื่องมือประเภทนี้มีให้เลือกใช้งานหลายตัว แต่เราจะหยิบยกมาให้เฉพาะเครื่องมือที่นิยมใช้ และเป็นเครื่องมือค้นหาข้อมูลที่ดีที่สุดในเวลานี้ ได้แก่
1. Google Chrome
อันดับแรกคงไม่พ้นตัวของ Google Chrome อย่างแน่นอน เนื่องจากมีความแพร่หลาย มีความนิยมสูงสุด แนวทางในการพัฒนาเรื่องของลูกเล่นมีอย่างต่อเนื่อง ด้วยฐานข้อมูลผู้ใช้งานที่ใหญ่มาก ทำให้ Google Chrome สามารถทดลองพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ออกมาได้เรื่อย ๆ ส่วนข้อเสีย คือ หากเปิดแท็บเยอะเกินไป จะทำให้ Chrome ช้า หรือค้างไปเลย และเป็ยปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้จนถึงทุกวันนี้
2. Safari
เป็นเครื่องมือที่เราหยิบมาให้ เพราะโดดเด่นในเรื่องของการรักษาข้อมูลของคุณ มีความปลอดภัยสูงในการใช้งาน ซึ่งเป็นมาตรฐานของทางบริษัท Google อยู่แล้ว ข้อดีเพียงเท่านี้ก็คงเพียงพอที่จะให้คุณลองใช้งานแล้ว ส่วนข้อเสียคงจะมีเพียงเรื่องเดียว คือ มีลูกเล่น หรือฟีเจอร์ต่าง ๆ น้อยเกินไป อาจไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการใช้งานด้วยเครื่องมือเสริมเยอะ ๆ เพื่อให้การทำงานสะดวกขึ้น
3. Microsoft Edge
อันดับที่ 3 คือผู้ที่อยู่ตรงกลางของการใช้งานทั้งหมด เมื่อเทียบกับ Search Engine ตัวอื่น ๆ โดยตัวของ Edge เป็นเวอร์ชันใหม่ของ Internet Explorer ในด้านการใช้งานจะรองรับส่วนเสริมได้เหมือนกับ Chrome แต่อ่อนด้อยกว่าในเรื่องของการ Support บริการของ Google ที่คุณอาจใช้เป็นประจำ เช่น Google Drive หรือ Gmail เป็นต้น เนื่องจาก Edge จะรองรับบริการของ Microsoft มากกว่า นอกเหนือจากนั้นดูเหมือนว่า Edge จะไม่ได้มีข้อดี ข้อเสียส่วนอื่นให้กล่าวถึงเลย
Search Engine ในอนาคตจะเป็นอย่างไร
ในช่วงปีที่ผ่านมาการเข้ามาของ AI หลายตัว ทำให้รูปแบบการทำงานในแต่ละสายงานเปลี่ยนไป สำหรับตัวของ Search Engine เองก็ไม่ได้ต่างกัน เนื่องจากตอนนี้มีการนำ AI เข้ามาช่วยในการให้คำตอบผู้ใช้งานแล้ว เช่น การทำงานของ Search Generative Experience หรือ SGE ที่จะแสดงด้านบนสุดการค้นหาข้อมูล โดยมีหลักการทำงาน คือ AI จะประมวลคำตอบมาให้อย่างดีที่สุด และใส่แหล่งอ้างอิงข้อมูลเป็นเว็บไซต์มาให้ด้วยนั่นเอง ตัวอย่างตามภาพด้านล่าง
นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของการสร้าง Search Engine ตัวใหม่ด้วยการพึ่งพาการทำงานของ AI ตัวอย่างเช่นการทำงานของ ChatGPT ที่ส่วนหนึ่งสามารถถามตอบ และรวบรวมข้อมูลพร้อมแหล่งอ้างอิงได้ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา Search Engine AI อีกตัว คือ Generative Engine Optimization หรือ GEO ที่เน้นการตอบคำถามด้วยการนำเสนอคำตอบที่ AI มองว่าสมบูรณ์ที่สุด โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องไปเข้า Google เพื่อเลือกอ่านบทความเอง แต่เครื่องมือตัวนี้ยังอยู่ในการพัฒนา เราอาจได้ลองใช้งานในอนาคตเร็ว ๆ นี้
ทำไมธุรกิจของคุณจึงควรสนใจ Search Engine
เครื่องมือที่ใช้ค้นหาข้อมูล เป็นรากฐานของการตอบคำถามเมื่อมีคนสงสัยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เหมือนเวลาคุณสงสัยแล้วเข้า Google นั่นแหละ ดังนั้นลองมองอีกมุมว่า ถ้าคุณมีบริการที่ต้องการให้คนกลุ่มหนึ่งเห็น เพื่อให้คุณสามารถขายสินค้า และบริการนั้น ๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อลูกค้าของคุณค้นหาสินค้าและบริการนั้นใน Google หรือ Safari แต่เว็บไซต์ของคุณไม่ได้อยู่ในการจัดอันดับหน้าแรก แต่กลับเป็นเว็บไซต์คู่แข่งของคุณแทนที่ไปปรากฏตัวอยู่บนนั้น
การทำการตลาดบน Search Engine มีอะไรบ้าง
คุณน่าจะเห็นแล้วว่า Search Engine มีความสำคัญขนาดไหน โดยเจ้าเครื่องมือตัวนี้มักเป็นเป้าหมายหลักของทีมการตลาดออนไลน์ ซึ่งมีวิธีการทำการตลาดหลัก ๆ อยู่ 2 แบบ ได้แก่
1. Search Engine Optimization
การทำให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นในหน้าเครื่องมือ Search Engine เราเรียกว่าการทำ SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้รองรับการทำงานของ Search Engine ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนเว็บไซต์ของคุณเหมาะที่ Bot จะนำไปทำการจัดอันดับให้นั่นเอง โดยราคาการทำ SEO ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการที่คุณว่าจ้างมาดูแล โดยวิธีนี้ได้รับความนิยมสูง เพราะถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง แต่ภาระในการจ่ายจะไม่มากเท่ากับวิธีอื่น แถมวิธีนี้หากได้ผลแล้ว จะได้ผลในระยะยาวอีกด้วย
2. Search Engine Marketing
เป็นการทำการตลาดด้วยวิธีโฆษณาบน Search Engine ของ Google อย่าง Google Chrome เราเรียกกันว่า SEM (Search Engine Marketing) นั่นเอง โดยเว็บไซต์ของคุณจะไปขึ้นอยู่ส่วนด้านบนของการค้นหา แต่เมื่อคุณหยุดจ่ายเงินให้กับทาง Google แล้ว โฆษณาของคุณก็จะหายไปเช่นกัน ต่างจากการทำ SEO ที่ยังคงอยู่ต่อไป
สรุป
Search Engine เป็นเครื่องมือพื้นฐานในโลกออนไลน์ที่มักถูกใช้สำหรับการตอบคำถามต่าง ๆ ที่คุณสงสัย ด้วยเหตุนี้เองเราจึงมักเห็นการทำ SEO และ SEM มาโดยตลอดจนเป็นเรื่องปกติแล้ว ในมุมมองของผู้ใช้งานทั่วไป อาจแค่ต้องการหาข้อมูลอ่านแล้วจากไป แต่ในมุมมองของการแข่งขันด้านธุรกิจ พื้นที่นี้ถือเป็นสนามสำคัญที่ควรสนใจ หากคุณอยากให้เราช่วยดูแลเรื่อง SEO ด้วยงบประมาณที่ไม่สูง แต่ได้ผลลัพธ์อย่างดีเยี่ยมแบบ Organic สามารถติดต่อเราได้เลย
เลือกอ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจในหัวข้อนี้:
ที่มาข้อมูล :
Search Central : คําแนะนําอย่างละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทํางานของ Google Search
Search Central : ทำให้เว็บไซต์ปรากฏใน Google