SEO คืออะไร ทำไมสำคัญ สิ่งที่ต้องทำถ้าคุณมีเว็บไซต์ในปี 2024
การแข่งขันในธุรกิจตอนนี้โอนเอียงไปทางด้านออนไลน์อย่างชัดเจน ทำให้การมีเว็บไซต์กลายมาเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่มีหลายเว็บไซต์ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำ SEO ซึ่งจะทำให้คุณขาดโอกาสในการเติบโตหลายอย่าง หากคุณยังไม่รู้ว่า SEO คืออะไร อ่านบทความนี้ได้เลย เราสรุปเอาไว้ให้หมดแล้ว
SEO คืออะไร
SEO (Search Engine Optimize) คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ โดยมีจุดประวสงค์เพื่อรองรับการติดอันดับในหน้า Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน การทำ SEO เป็นช่องทางหนึ่งในการทำ Online Marketing ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในธุรกิจยุคนี้ เพราะสามารถดึงลูกค้าให้เข้ามาในเว็บไซต์ และมีโอกาสในการขายสินค้า และบริการต่าง ๆ จนทำให้เกิดรายได้ในธุรกิจในที่สุด
บทความที่เกี่ยวข้อง : 9 ระบบใหม่ Google Analytics 4 อยากพัฒนาเว็บไซต์ไม่ควรพลาด
SEO สำคัญอย่างไร ทำไมต้องทำ
ย้อนกลับไปเมื่อ 4-5 ปีก่อน การทำ SEO ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ และเป็นเทคนิคที่พบได้ยากบนเว็บไซต์ แต่ด้วยประโยชน์ที่หลากหลาย ทำให้การทำ SEO กลายมาเป็น New Normal ของธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งธุรกิจของคุณจะได้ผลประโยชน์ ตัวอย่างเช่น
การทำ SEO ถือเป็นการทำ Online Marketing ที่ใช้ต้นทุนน้อยที่สุด หากเทียบกับวิธีอื่น ๆ โดยเฉพาะการยิง ADS
เพื่อรักษาการเข้าถึงลูกค้าในช่องทางที่ใหญ่ที่สุดช่องทางหนึ่ง นั่นก็คือเว็บไซต์นั่นเอง หากเราไม่ทำแล้วคู่แข่งทำ จะทำให้เราโดนแย่งลูกค้าได้ง่าย
ผลประโยชน์ที่ได้จะเป็นระยะยาว และยิ่งทำ SEO ต่อเนื่องอย่างถูกวิธีจะยิ่งทำให้เว็บไซต์แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย
การทำ SEO ให้ติดหน้าแรกได้ จะทำให้มีผู้ใช้งานเข้ามาในเว็บไซต์ ทำให้ได้ข้อมูล และค่าสถิติต่าง ๆ ไปวิเคราะห์ในการวางแผนทำการตลาดต่อไป
SEO แตกต่างกับ SEM อย่างไร
หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า SEO กับ SEM แม้จะคล้องจองกัน และเป็นวิธีในการทำ Online Marketing เหมือนกัน แต่มีหลักในการทำแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนี้
SEO (Search Engine Optimize) : เป็นการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อรองรับการจัดอันดับของ Google ที่จะต้องใช้ระยะเวลาในการที่นาน ต้องแข่งขันกันในการจัดอันดับ เป็นการหวังผลระยะยาว ต้นทุน คือ ค่าพนักงานที่ดูแลรับผิดชอบหน้าที่นี้ และค่าเครื่องมืออื่น ๆ ที่จำเป็น เมื่อติดอันดับแล้ว มีโอกาสที่จะติดอันดับต่อไปหลายเดือน
SEM (Search Engine Marketing) : เป็นการทำโฆษณา หรือที่เรียกว่า Google ADS เป็นการจ่ายเงินเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับข้างบนได้ในทันที แต่ก็ต้องแข่งขันกับเว็บไซต์อื่นที่ทำ SEM ด้วยเช่นกัน และเมื่อหยุดจ่ายเงิน จะทำให้เว็บไซต์หายไปจากอันดับข้างบนทันที
จะเห็นได้ว่าการทำ SEO จะใช้เวลาหวังผลนานกว่า อาจมีค่าใช้จ่ายบ้าง แต่ไม่มากเท่ากับ SEM และเมื่อติดอันดับไปแล้วอาจอยู่ในตำแหน่งเดิมได้เป็นเดือน ๆ โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินตลอด ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันหลายธุรกิจจึงมีความต้องการในการทำ SEO ที่สูงมาก ๆ
SEO ทำยากไหม
โดยปกติแล้วผู้ที่ดูแลการทำ SEO จะเป็นตำแหน่งงาน SEO Specialist ที่จะมีเทคนิคในการปรับแต่งเว็บไซต์แตกต่างกันแล้วแต่ละบุคคล ทำให้การทำ SEO จึงเป็นความรู้เฉพาะทาง ทำให้การทำนั้นยาก เพราะไม่ใช่แค่ความรู้ที่ต้องสะสมมาตลอดเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการแข่งขันกันระหว่างเว็บไซต์ในสายธุรกิจเดียวกันด้วย
ตัวอย่างเช่น บริษัทรับทำ SEO ชื่อ A และบริษัทรับทำ SEO ชื่อ B ทั้งสองบริษัทต่างมีเว็บไซต์ และพยายามทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ 1 ในหน้า Google เท่ากับว่าจะต้องมี 1 บริษัทที่อันดับจะดีกว่าอีกฝ่ายนั่นเอง แต่เดี๋ยวก่อน การทำ SEO จริง ๆ คู่แข่งจะมากกว่า 1 เว็บไซต์อย่างแน่นอน โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 100 เว็บไซต์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเครือธุรกิจที่เลือกทำด้วย
จ้างทำ SEO มีค่าบริการเท่าไหร่
เนื่องจากการแข่งขันทางธุรกิจที่สูง ทำให้การทำ SEO อาจไม่มีเวลามากพอที่จะทำไป เรียนรู้ไป หลายบริษัทจึงตัดสินใจที่จะจ้างทำมากกว่า โดยทั่วไปแล้วจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 15,000-100,000 บาทต่อเดือน ยิ่งมีราคาสูงยิ่งทำให้สามารถเลือก Keyword (คำที่ต้องการให้ติดหน้า Google) ได้มากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้การใช้บริการทำ SEO เป็นไปได้ยากที่จะสามารถการันตีผลได้ เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ และการจัดอันดับจะขึ้นอยู่กับทาง Google ด้วยนั่นเอง
จริงหรือไม่ที่การทำ SEO ไม่มีค่าใช้จ่าย?
หลายคนอาจได้ยินหลายบริษัทที่รับทำ SEO บอกตลอดว่าการทำนั้นไม่เสียเงิน หรือเสียเงินน้อยมาก เรื่องนี้เราต้องบอกเลยว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากการทำ SEO มักมีค่าใช้จ่ายแฝงจำนวนมาก และมักจะต้องจ่ายต่อเดือนด้วย แต่อย่างที่เราบอก หากนำไปเทียบการทำโฆษณา หรือการยิง ADS การลงทุนทำ SEO อาจเป็นทางเลือกที่รักษางบประมาณได้ดีกว่า โดยค่าใช้จ่ายในการทำ SEO มีดังนี้
ค่าแรง หรือค่าพนักงาน : โดยปกติแล้วหากจ้าง SEO Specialist จะมีเงินเดือนเฉลี่ย 28,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และผลงานที่เคยทำมา เพราะสายงานนี้ต้องพึ่งประสบการณ์ในการลองผิด ลองถูกตลอด ๆ
ค่า Tools ที่เกี่ยวข้อง : แม้จะมีเครื่องมือฟรีอย่าง GA4 และ Google Search Console แต่อาจไม่มากพอ เพราะต้องมีเครื่องมือในการวิเคราะห์การเลือกใช้ Keyword ด้วย เช่น Ahrefs หรือ Ubersuggest เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายรายเดือน เฉลี่ยนเดือนละ 3,300 บาทขึ้นไป
ค่านักเขียนบทความ SEO :
ค่าเว็บไซต์ : สิ่งที่ต้องมีก่อนทำ SEO คือ เว็บไซต์ ทั้งการจด Domain Name และการเช่า Hosting มีค่าใช้จ่ายเป็นรายปี ส่วนมากจะตกปีละ 3,000 บาท
ค่าส่วนเสริมอื่น ๆ ในการทำ SEO : การทำ SEO ให้ได้ผลยังรวมถึงหลายองค์ประกอบที่ต้องการ เช่น การทำ Backlink การสร้างบัญชีใน Social Media เพื่อสร้างตัวตน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายไม่แน่นอน อาจประมาณอยู่ที่ 2,000 บาทต่อเดือน แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องจ่ายทุกเดือน
สรุปแล้วหากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ และต้องการทำ SEO โดยไม่จ้างบริษัทอื่นทำให้ จะมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างน้อยประมาณ 50,000 บาทต่อเดือน อาจน้อย หรือมากกว่านี้ได้เช่นกัน
ทำ SEO ใช้เวลานานไหม
หนึ่งในสิ่งที่คุณอาจต้องเตรียมใจ และยอมรับในการทำ SEO คือ กฎเหล็กที่ว่าการทำ SEO ต้องใช้ระยะเวลาในการทำนาน และทำอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 6 เดือน และสูงสุดที่ 1 ปี สำหรับเว็บไซต์ที่เพิ่งออนไลน์ใหม่ เนื่องจากจะต้องใช้เวลาสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยทาง Google เองจะคอยเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และจะเริ่มเห็นการจัดอันดับที่จริงจังหวังผลได้ในช่วงเดือนที่ 6
ในทางกลับกันหากเว็บไซต์ถูกสร้างมานานแล้ว เช่น มีอายุประมาณ 1 ปีขึ้นไป การทำ SEO จะเห็นผลเร็วขึ้น โดยมักจะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน และสูงสุดที่ 6 เดือน
จะรู้ได้อย่างไรว่าเว็บไซต์มี SEO ที่ดี
โดยปกติแล้วการทำ SEO จะมีการหวังผลในการติดอันดับที่ 1-10 หรือที่เรียกว่า “ติดหน้าแรกของ Google” เนื่องจาก 1 หน้าของ Google จะมีการแสดงผลเว็บไซต์ประมาณ 10 เว็บไซต์นั่นเอง โดยการตรวจสอบประสิทธิของเว็บไซต์ว่าปรับแต่งมาถูกหลักที่ Google ต้องการหรือไม่ จะประกอบไปด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วนหลัก ได้แก่
1. โครงสร้างของเว็บไซต์กับธุรกิจของคุณ
โครงสร้างภาพรวมของเว็บไซต์มีหลายองค์ประกอบ ที่สำคัญมาก ๆ เช่น ชื่อของแต่ละเพจ (Title) และคำอธิบายภาพรวมของหน้าเพจนั้น ๆ (Description) ที่ควรควบคุมด้วยคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ (Keyword) และอธิบายให้อยู่ในขอบเขตธุรกิจเท่านั้น ไม่ควรใส่เนื้อหานอกเหนือจากที่ควรจะเป็น เพื่อให้ Google สามารถเข้าใจเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณ และนำไปจัดอันดับได้อย่างถูกต้อง
โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนการสร้างเว็บไซต์มักจะไม่ได้ตั้งค่า Title และ Description เนื่องจากผู้ที่พัฒนาเว็บอาจไม่ได้รู้ และเข้าใจถึงเนื้อหาที่เว็บไซต์ควรจะเป็นเท่ากับเจ้าของธุรกิจนั้น ๆ ขั้นตอนนี้จึงมักมาตามเก็บหลังจากที่เว็บไซต์พัฒนาเสร็จแล้ว
2. รูปแบบของเนื้อหา หรือบทความ SEO
จะต้องมั่นใจว่าเว็บไซต์ของคุณได้มีการจัดทำเมนูหลัก หรือพื้นที่สำหรับลงบทความแล้ว และมีการลงบทความค่อนข้างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ ไม่เพียงแค่นั้น บทความที่ลงในเว็บไซต์จะต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ และมีขั้นตอน แบบฟอร์มภาพรวมถูกต้องตามหลักการเขียนบทความ SEO อีกด้วย การเขียนบทความตามใจตนเอง โดยปกติแล้วจะไม่นับเป็นบทความ SEO และมีโอกาสยากที่จะติดอันดับ หากไม่มีองค์ประกอบที่ถูกต้อง
3. ประสิทธิภาพการใช้งานของเว็บไซต์
คำว่าประสิทธิภาพการใช้งานของเว็บไซต์ค่อนข้างกว้างมาก และมีหลายปัจจัยรวมอยู่ในนั้น คุณควรเริ่มต้นจากการตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์ก่อน ที่ไม่ควรโหลดนานกว่า 3 วินาที ตรวจดูปุ่ม CTA ว่าสามารถกดได้ไหม การทำงานเป็นปกติหรือไม่ นอกจากนี้คุณยังควรตรวจดูว่าการแสดงผลบนมือถือดีหรือไม่ สามารถใช้งานได้ง่ายหรือเปล่าด้วย
4. ความสามารถในการตอบโจทย์ผู้ใช้งาน
เมื่อเว็บไซต์ได้ออนไลน์ออกไปแล้ว จะต้องเก็บสถิติการใช้งานของลูกค้าด้วย เพื่อดูว่าลูกค้าตอบสนองต่อเว็บไซต์อย่างไร หากลูกค้าไปยังปลายทางที่คุณต้องการ แสดงว่าการทำ SEO ของคุณประสบความสำเร็จ และมีโอกาสผลักดันให้เกิดยอดขายได้ด้วย ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการทำ SEO นั่นเอง
SEO เป็นพื้นฐานที่เว็บไซต์ต้องทำเป็นปกติในยุคนี้ ด้วยความสำคัญของโลกออนไลน์ ทำให้เว็บไซต์กลายมาเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อ และลูกค้า หากไม่มีการทำ SEO แน่นอนว่าโอกาสที่จะสู้คู่แข่งได้นั้น จะน้อยลงไปอย่างมาก หากคุณยังไม่เริ่ม เราขอแนะนำให้เริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้ เพราะการทำ SEO ใช้เวลาในการทำที่นานกว่าที่คุณคิดแน่นอน
เลือกอ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจในหัวข้อนี้:
ที่มาข้อมูล : 1