ในช่วงปีนี้ที่การต่อสู้ด้วยข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งสำหรับสาย Content และสาย Digital Marketing คือการหันมาใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Google Trends ถือเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใคร ๆ ก็สามารถใช้งานได้ แต่บทความนี้จะมาแชร์เทคนิคที่คุณอาจต้องรู้ เพื่อให้การใช้งานเครื่องมือตัวนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
กดเลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
Google Trends คืออะไร
Google Trends คือ เครื่องมือบริการจาก Google ที่สามารถใช้งานได้ฟรี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยเอาไว้ใช้ดูสิ่งที่เรียกว่า “Trends” หรือคือ “สิ่งที่ผู้คนกำลังสนใจในเวลานั้น” การใช้งานส่วนมากจึงเป็นการใช้งาน เพื่อนำไปวิเคราะห์การทำ Content หรือการเขียนบทความตามความสนใจของผู้คน เพิ่มโอกาสให้ตัว Content ได้รับความสนใจมากกว่าเดิม
บทความที่เกี่ยวข้อง : สรุปข้อมูล Google Trends คนไทยค้นหาอะไรมากที่สุดในปี 2023
8 เทคนิคใช้งาน Google Trends 2024
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเครื่องมือของ Google ตัวนี้ได้ด้วยเทคนิคการดูแบบ Realtime, เสริมความแม่นยำในการหาข้อมูล หรือการขยายฐานข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาข้อมูลน้อยเกินไป รวมถึงวิธีอื่น ๆ ดังนี้
1. ใช้งาน Google Trend แบบ Realtime
โดยปกติการใช้งานเครื่องมือตัวนี้จะเป็นการเข้าไปค้นหา Trends ในแต่ละวัน หรือในช่วงเวลาที่เราต้องการดูข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์ แต่รู้หรือไม่ว่าเรายังสามารถดูในรูปแบบ Realtime ได้อีกด้วย โดยจะเป็นการใช้งานผ่าน “Google Trends-Hot Searches” ซึ่งเราตั้งค่าเป็นสำหรับประเทศไทยมาให้
หากต้องการดู Trends สำหรับประเทศอื่น สามารถกดเลือกได้ที่มุมซ้ายล่าง ตามรูปภาพด้านล่างนี้

2. ดู Trends การค้นหาจากรูปภาพ, YouTube และอื่น ๆ
นอกจากตรวจสอบการค้นหาจาก Google Search ยังสามารถตรวจดู Trends จากการค้นหารูปแบบอื่น ๆ ได้ด้วย ได้แก่
Image Search (การค้นหารูปภาพ)
News Search (การค้นหาข่าวสาร)
Google Shopping (การค้นหาสินค้า)
YouTube Search (การค้นหาวิดีโอ YouTube)

3. ใช้การค้นหาแบบ Topic เพื่อเพิ่มโอกาสเจอข้อมูล
หลายครั้งที่การแสดงผลการค้นหาอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ เช่น ข้อมูลที่ Google มีไม่มากพอจะแนะนำ Keyword ให้กับเราได้ แต่เราสามารถแก้ไขได้ด้วยการเพิ่มขอบเขตการค้นหาจาก “Search term” ที่เป็นการจำกัดหาข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ที่เราพิมพ์ลงไป และใช้แบบ “Topic” ที่เป็นหัวใหญ่ของเรื่องนั้น ๆ แทน
วิธีนี้จะช่วยให้เราได้รับข้อมูลที่มากขึ้น แต่ยังมีข้อเสียตรงที่ข้อมูลหลาย ๆ อย่างอาจไม่ตรงตามที่เราต้องการทั้งหมด 100% นั่นเอง

4. เพิ่มความแม่นยำด้วย Categories
บางครั้งการค้นหาอาจเป็นคำที่มีหลายแง่มุมเกินไป มีความกว้างมากเกินไป เรายังสามารถจำกัดข้อมูลให้แม่นยำมากขึ้นได้ด้วยการจำกัด Categories เช่น หาคำว่า “ทำเว็บไซต์” แล้วตั้ง Categories เป็น “Business & Industrial” เพื่อให้เจอคำที่เกี่ยวข้องมากกว่าเดิม
อย่างไรก็ตามวิธีนี้คือการจำกัดข้อมูลให้แคบลง จึงมีแนวโน้มว่าเมื่อตั้งค่าการค้นหาไปแล้ว จะทำให้มีโอกาสข้อมูลที่แสดงไม่เพียงพอมากขึ้นกว่าเดิมได้

5. ไม่พบข้อมูล ลองขยาย Time Range
การเก็บข้อมูลของเครื่องมือชนิดนี้ มาจากการค้นหาตามระยะเวลาที่เราตั้งค่าเอาไว้ โดยปกติแล้วระบบจะตั้งค่าไว้ที่ “Past day” ซึ่งเป็นข้อมูลย้อนหลัง 24 ชั่วโมง หรือวันก่อนหน้านี้เท่านั้นเอง ถ้าไม่มีใครค้นหาคำที่เราต้องรู้ในจำนวนที่มากพอ จะทำให้ไม่มีข้อมูลแสดงออกมา
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ : รวม 10 ประเภทของเว็บไซต์ แบ่งตามลักษณะการใช้งานที่เหมาะสม

6. คำศัพท์สำคัญสำหรับอ่านค่า Google Trends
การอ่านค่าโดยปกติแล้วไม่ได้มีคำศัพท์ที่ยากเท่าไหร่ เราสามารถเข้าใจจากสิ่งที่เห็นบนจอได้อยู่แล้ว แต่อาจมีบางคำที่เป็นอุปสรรคสำหรับมือใหม่ ได้แก่
Related topics : คำที่เกี่ยวข้องที่เพิ่มขึ้นมาแนะนำให้เราเพื่อนำไปใช้เป็นไอเดีย
Related queries : เป็นการแสดงคำที่เกี่ยวข้องเหมือนกัน แต่จะเน้นเป็นคำที่ใช้ในเชิงคำถามเท่านั้น
Rising : คำที่มีการค้นหาเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ จากแต่เดิมที่มีการค้นหาไม่มาก หรือที่เราเรียกกันว่า “Trending” นั่นเอง
Top : คำที่มีการค้นหาสูงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะในช่วงนี้
Breakout : การเพิ่มจำนวนการค้นหาที่เพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับที่สูงมาก ๆ
7. แชร์ข้อมูลโดยที่ไม่ต้องแคปรูป
ข้อมูลทุกส่วนที่แสดงผลใน Google Trends เราสามารถแชร์ไปไว้ในเว็บไซต์ของเราได้ โดยนอกจากการแคปเป็นรูปแล้ว แต่หากต้องการให้แสดงผลในเว็บไซต์แบบ Realtime สามารถกดดูข้อมูลได้ด้วยให้ใช้ปุ่ม <> ที่อยู่มุมบนขวาของข้อมูลแต่ละส่วน แล้วทำการ Copy Code ที่ขึ้นมาไปใส่เอาไว้ในบทความเว็บไซต์ที่เราต้องการโชว์ข้อมูลได้เลย

8. นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์
หลังจากรู้เทคนิคหาข้อมูลที่ต้องการแล้ว หลายคนอาจยังเอาข้อมูลไปใช้ไม่คุ้มค่า หรือไม่รู้จะนำข้อมูลไปวิเคราะห์อย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากการดูว่าคนสนใจอะไร แล้วนำไปเขียน Content ยังสามารถนำไปใช้ในเรื่องอื่น ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น
ดูพื้นที่จังหวัดที่สนใจทำการตลาด เช่น คุณเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ และต้องการขยายสาขาแต่ไม่รู้จะขยายไปที่จังหวัดไหน แต่เมื่อค้นหาคำว่า “บะหมี่” พบว่าจังหวัดที่ค้นหามากที่สุดคือ นครนายก เป็นต้น
นำคำที่มีผลการค้นหาแบบ Breakout ไปทำ Content โดยให้พยายามลง Content ดังกล่าวภายในวันนี้เพื่อให้มีโอกาสเกิดยอดคนอ่าน หรือมีคนสนใจมากที่สุด
ใช้ตัดสินคำที่มีความคล้ายกัน เช่น “บะหมี่” กับ “ก๋วยเตี๋ยว” เพื่อตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจ ให้ใส่ในโหมด “Add comparison” จะพบว่า “ก๋วยเตี๋ยว” ได้รับความสนใจมากกว่า เป็นต้น
ทำนายอนาคตของธุรกิจด้วยเทคนิคพิเศษ 5 years ago
เทคนิคพิเศษจากงาน Search Central Live Bangkok 2024 ของคุณ Daniel Waisberg ตำแหน่ง Search Advocate ของบริษัท Google ที่ได้แนะนำแนวทางในการทำการตลาด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มความสนใจของผู้คนในอนาคต โดยเทคนิคนี้จะใช้ข้อมูลมากสุด 5 ปีก่อน ด้วยการเลือกข้อมูลการค้นหา 5 ปี และไล่ดูจุดสูงสุดของกราฟแต่ละจุดว่าช่วงนั้นเป็นช่วงเดือนไหนของแต่ละปี เช่น ตัวอย่างในนี้จะเห็นว่าช่วงที่คนค้นหา "กระเป๋าเป้" มากที่สุด คือ เดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่กราฟขึ้นสูงสุดถึง 2 ปีติดต่อกัน นั่นหมายความว่า มีแนวโน้มว่าช่วงที่ดีที่สุด ที่คุณจะทำการตลาดเกี่ยวกับกระเป๋าเป้คือช่วงเดือนธันวาคม แสดงว่าคุณต้องเตรียมงานให้พร้อมก่อนเดือนพฤศจิกายน เป็นต้น

สรุป
อย่างไรก็ตามการนำข้อมูลที่ได้มาไปวิเคราะห์ต่อ ต้องขึ้นอยู่กับเป้าหมายของการนำไปใช้งานที่แตกต่างกัน จะเห็นได้ว่าแม้ Google Trends จะเป็นเครื่องมือฟรีที่ใคร ๆ ก็ใช้งานได้ และด้วยผิวเผินอาจดูเหมือนไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่หากใช้งานเป็น รู้จักเครื่องมือเป็นอย่างดี จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
สนใจบริการ : รับทำเว็บไซต์ เริ่มต้นเพียงหน้าละ 3,500 บาท ออกแบบผ่าน UX/UI Designer พร้อมให้คำแนะนำด้าน SEO
เลือกอ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจในหัวข้อนี้:
ที่มาข้อมูล : 1